30 December, 2009

Thai E-News มอบตำแหน่งบุคคลแห่งปีให้แก่คนกอดปืนนิรนาม

เราจะต้องไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งประเทศไทยเคยมีผู้กล้าใช้เพียงมือเปล่าและจิตวิญญาณประชาธิปไตยเข้าต่อกรกับเดนมนุษย์ขี้ข้าเผด็จการที่มีอาวุธเต็มมืออย่างอาจหาญ



ส่วนพวกเดรัจฉานที่ไม่เคยแม้แต่จะสำเหนียกบุญคุณประชาชนจงจำไว้
"วันที่ประชาชนเป็นใหญ่ สิ่งที่พวกมึงจะต้องร้องขอ....คือ ความตาย
....ไม่ใช่ลมหายใจ"

ที่มา http://thaienews.blogspot.com/2009/12/person-of-year.html

ส่วนอันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกัน 53 บุคคลอันตรายแห่งปี 52

ป.ล. เป็นที่น่าแปลกใจว่าภาพนี้ไม่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชั่วในประเทศไทยเลย ทั้งที่สำนักข่าวยักษ์ใหญ่ต่างประเทศอย่าง BBC เอาไปลงพาดหัว ผมว่าภาพคนมือเปล่าเข้าไปกอดปืนรถถังเป็นภาพที่สมควรจะได้รับรางวัล "ภาพข่าวแห่งปี" มากกว่าภาพหน้าตัวเมียจิกหัวผู้หญิงเสื้อแดงด้วยซ้ำ สงสัยว่าข้อเสียของภาพนี้จะมีอย่างเดียว คือ มันแสดงถึงความเป็นมนุษย์มากเกินกว่าที่ระดับสติปัญญาของพวกสื่อมวลชั่วจะเข้าใจได้

21 December, 2009

Exteen tags FAIL


จากกระทู้ คุณเห็นอย่างที่ผมเห็นหรือเปล่าครับ จากเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน
คนตั้งกระทู้นี้ช่างสังเกตจริงๆ

อะไรนะ มองไม่เห็นเหรอ?

ดูตรง Tag cloud ล่างๆ อะครับ

ป.ล. ขอยืมคำว่า FAIL มาจาก fail.in.th

07 December, 2009

งดพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาฟุ่มเฟือย บทความจาก Thai E-News

บทความนี้เป็นการคัดลอกเนื้อหาบางส่วนจาก งดพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาฟุ่มเฟือย ทรงเป็นแบบอย่างแก่พสกนิกรพอเพียงฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก จาก Blog ของ Thai E-News

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา Who weekly magazine
7 ธันวาคม 2552

ทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่ และทุพิกขภัยหลายอย่าง ยังผลให้พระมหากษัตริย์หลายประเทศทรงงดพิธีเฉลิมฉลองหรูหราฟุ่มเฟือยแล้วหัน มารัดเข็มขัดเป็นแบบอย่างแห่งความพอเพียงแก่เหล่าพสกนิกร ซึ่งก็รวมทั้งกษัตริย์บรูไนที่งดพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาในปีนี้ และควีนอลิซาเบธแห่งสหราชอาณาจักรที่ทรงฉลองพระชนมายุ 83 พรรษาด้วยการเสวยพระกระยาหารค่ำกับพระราชโอรสแบบเรียบง่าย ทรงขอให้งดพิธีการสิ้นเปลืองลงให้หมด รวมทั้งลดลงแม้กระทั่งเสื้อผ้าชุดแต่งพระองค์ออกงาน พร้อมกำชับพระราชวงศ์ทรงเป็นแบบอย่างแห่งความพอเพียงเพื่อพาประเทศผ่านวิกฤตเศรษฐกิจ

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ประเทศบรูไน ประกาศระงับการจัดพิธีเฉลิมพระชนม์พรรษาครบรอบ 63 ชันษา ของ สุลต่านฮัสซานัล โบลเกียห์ ในปีนี้ ภายหลังเกิดสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ระบาดในประเทศ โดยรัฐบาล ออกแถลงการณ์ว่า ทางการจะจัดเพียงพิธีสวดมนต์หมู่เท่านั้น

....

เมื่อปีที่แล้วซึ่งเป็นวาระครบรอบ62ชันษา แม้ว่าจะเป็นประเทศร่ำรวยจากการขายน้ำมัน และแม้ว่าจะอยู่ในวาระเฉลิมพระชนมพรรษา อันเป็นวาระสำคัญของประเทศ ที่ปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย แต่ทางการบรูไนก็ได้เน้นย้ำกำชับให้คนในประเทศช่วยกันประหยัดไฟฟ้าในภาวะ น้ำมันแพง โดยที่สุลต่านบรูไนได้ปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างให้พสกนิกรได้เจริญตาม เบื้องพระยุคลบาท ด้วยการให้สำนักนายกรัฐมนตรีออกประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า การเปิดไฟประดับประดาเฉลิมพระเกียรตินั้นจะทำได้ตั้งแต่เวลา 19.30 ถึง 24.00น. เท่านั้น

...


สมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นทรงห่วงพสกนิกรเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ

ส่วนสมเด็จพระจักรพรรดิอากิฮิโต แห่งญี่ปุ่น ซึ่งจะครบรอบพระราชสมภพ 76 พรรษาในวันที่ 23 ธันวาคมนี้ เมื่อปีกลายก็เกือบต้องงดพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา เพราะมีปัญหาทางพระพลานามัย อย่างไรก็ดีทรงหายพระประชวรทันงานที่องค์กรธุรกิจชาวญี่ปุ่นจัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ

พระองค์ทรงมีพระราชกระแสดำรัสในตอนหนึ่งต่อพสกนิกรที่เข้าเฝ้าถวายพระพรราว 50,000 คนในงานเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อปีที่แล้วว่า "ข้าพเจ้าวิตกว่าพสกนิกรชาวญี่ปุ่นจะเผชิญความยากลำบากต่อภาวะเศรษฐกิจโลกที่ย่ำแย่อยู่ในเวลานี้ แต่ข้าพเจ้าหวังว่าวิกฤตการณ์จะผ่านพ้นไปได้"

ควีนอลิซาเบธลดความหรูหราฟุ่มเฟือย-สอนพระญาติเป็นแบบอย่างพอเพียงแก่พสก

สถานการณ์ เศรษฐกิจที่ฝืดเคืองของปีนี้ซึ่งหนักจนเป็นวิกฤตในบางประเทศนั้น สร้างความเดือดร้อนให้กับทุกผู้ทุกนามอย่างแท้จริง เพราะมิเพียงชาวบ้านหรือประชาชนตาดำๆ เท่านั้นที่ต้องรัดเข็มขัดประหยัดค่าใช้จ่าย หากยังสะเทือนไปถึงราชบัลบังก์ของเจ้าผู้ปกครองประเทศราชวงศ์ทั้งหลายด้วย

สื่อมวลชน อังกฤษรายงานว่า ในมหาวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 83 ชันษา ของสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธเมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมานี้ พระองค์เพียงแต่เสด็จไปเสวยพระกระยาหารค่ำในวังของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด พระราชโอรสแบบไม่เป็นทางการ เพื่อแสดงถึงพระราชประสงค์ให้เห็นว่าไม่มีมีพระราชประสงค์จัดงานเฉลิมพระ ชนมพรรษาแบบหรูหราฟุ่มเฟือยในช่วงที่ประเทศเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจรุมเร้า

หนังสือพิมพ์เดอะซันรายงานว่า ไม่ต้องพระราชประสงค์ที่จะให้จัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาอย่างเป็นทางการด้วยความหรูหราฟุ่มเฟือย แต่ให้เป็นไปด้วยความเรียบง่าย "พระองค์ท่านทรงตระหนักดีที่จะทรงหลีกเลี่ยง การสร้างความผิดหวังให้แก่พสกนิกรในห้วงเวลาที่ยากลำบากอย่างตอนนี้"และนี่ ไม่ใช่หนแรกที่ทรงเป็นแบบอย่างในการรัดเข็มขัด เมื่อปีกลายได้ทรงห้ามพระราชวงศ์อย่าทำตัวหรูหราฟุ่มเฟือยในภาวะเศรษฐกิจ ถดถอย รวมทั้งมีพระราชกระแสดำรัสสั่งเจ้าชายวิลเลี่ยม กับเจ้าชายแฮร์รี่ให้ทรงหยุดเที่ยวกลางคืนเสีย

...
“ส่วนพระองค์ ก็ไม่ได้ชื่นชอบความหรูหราฟู่ฟ่าสักเท่าไหร่ ทรงไม่โปรดที่จะสปอยล์ลูกหลาน เพราะทรงไม่ชอบการอบรมเลี้ยงดูในรูปแบบเช่นนั้น”
ผู้ใกล้ชิดราชสำนักคนหนึ่งกล่าว

...


แว่ว มาว่าสมเด็จพระราชินีอลิซเบธ เพิ่งเรียกระดมพลลูกหลานที่ใกล้ชิดทั้งหลายเพื่อชี้แจงและร้องขอความร่วมมือ ในนโยบายรัดเข็มขัดกระเป๋าทองคำฝังเพชรของตระกูลวินด์เซอร์ให้ทราบโดยทั่วกัน เพราะแม้จะยิ่งศักดิ์อัครสมบัติเพียงใด แต่ถ้าไม่ยี่หระสนใจกระแสความผันผวนของเศรษฐกิจโลกเลยก็อาจจะต้องเป็นคนร้องไห้เสียงดังเป็นคนสุดท้ายก็เป็นได้

24 November, 2009

ร่วมไว้อาลัย ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช

วันนี้แวดวงการเมืองไทยได้สูญเสียนักการเมืองรุ่นใหญ่ผู้มากความสามารถไปอีกคน ผมเองทราบข่าวเศร้านี้จาก sms ของ ThaksinLive เป็นที่แรก เมื่อตอนประมาณสายๆ ของเช้าวันนี้ (24 พ.ย. 2552)

สารภาพตามตรง ผมเคยมีอคติกับวิธีการพูดแบบแรงๆ ของท่านสมัครเหมือนกัน ทั้งที่บางครั้งเรื่องที่ท่านต้องการนำเสนอ ผมก็ไม่อาจจะแย้งได้เลย เช่น เรื่องที่ให้สื่อมวลชนเลิกให้ท้ายพันธมิตรฯ ครั้งเมื่อพวกผู้ก่อการร้ายเหล่านี้ใช้กำลังเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล (ตอนนั้นผมยังเป็นพวกกลางสองไม่เอา-ขาวไร้เดียงสาอยู่)

มาวันนี้นึกย้อนกลับไปถึงสถานการณ์ความวุ่นวายเมื่อปีที่แล้ว ผมต้องขอคารวะต่อความกล้าหาญของนักการเมืองอาวุโสผู้ปากร้ายใจดีคนนี้อย่างสุดหัวใจ และยิ่งรู้สึกเสียดายเมื่อการเมืองไทยต้องเสียนักการเมืองที่เป็นตัวของตัวเอง,แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาเช่นท่านไป วันที่ประเทศอยู่ในความมืดมนทางการเมืองจากผลพวงของอำนาจมืดที่สนับสนุนรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 นักการเมืองปลดเกษียณวัย 70 กว่าต้องกลับมาต่อสู้เป็นแนวหน้าของประชาชนเสียงส่วนมากอีกครั้ง ต้องทนกับแรงเสียดทานและคำครหาสารพัน ไม่ต้องพูดถึงแรงกดดันจากมือที่มองไม่เห็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังม็อบมีเส้น

ทุกช่องทุกข่าวทุกสื่อที่รายงานเรื่องในวันนี้ คงมีแต่คำชม คำสรรเสริญ อดีตนายกฯ ของประเทศไทยคนที่ 25 คนนี้ แม้แต่คนที่เคยหาเรื่องท่าน ให้ร้ายท่าน ด่าทอเสียดสีท่าน ก็ยังต้องละความโกรธเกลียด เหลือไว้เพียงแต่ความอาลัย หากเรายังคงเชื่อว่า เกียรติสูงสุดของมนุษย์ มีอยู่ในชีวิตจริง คนที่แม้แต่ศัตรูยังสรรเสริญอย่าง น้าหมัก นี่แหละครับสมควรที่จะได้รับสิ่งนั้นแล้ว แม้ว่าท่านจะไม่มีโอกาสได้รับรู้ในขณะที่ยังมีลมหายใจอยู่ก็ตาม

ด้วยความเสียใจต่อการจากไปของ ฯพณฯ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย

05 November, 2009

ทำไมผมถึงเลือกข้าง "แดง"

คนที่อ่านโพสต์ที่ผมเขียนก่อนหน้านี้รวมทั้งคนที่รู้จักสนิทสนมกับผม คงรู้สึกได้ว่าความเห็นทางการเมืองที่ผมนำเสนอส่วนใหญ่จะเอียงๆ ไปในทางแนวคิดของกลุ่ม "เสื้อแดง" และต่อต้านแนวความคิดแบบ "เสื้อเหลือง" หรือ "พันธมิตรประชาชนเพื่อ (ล้มล้าง) ประชาธิปไตย"

ใช่ครับ ผมไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าผมสนับสนุนแนวคิดของเสื้อแดง ถึงในรายละเอียด ผมจะไม่เห็นด้วยกับกระแส "แดง" ไปเสียทุกๆ เรื่อง และจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เคยไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงเลยแม้แต่ครั้งเดียว (ผมขอไม่นับที่เคยไปยืนเชียร์ครั้งสองครั้งตอนที่มีการประท้วงบริเวณกระทรวงการต่างประเทศ เพราะไม่ได้เป็นการตั้งใจไป แต่บังเอิญมีการประท้วงใกล้ๆ กับที่เรียนของผม เลยอดใจไม่ไหวจนต้องลงมายืนดูแบบใกล้ชิดติดสนาม ก็แค่นั้น)

คำถามที่ผมมักจะได้รับจากคนรอบตัวคือ "ทำไมถึงหันมาสนใจการเมืองในช่วงนี้?" หรือให้ตรงกว่านั้นก็คือ "ทำไมถึงเชียร์เสื้อแดงออกหน้าออกตาขนาดนี้?" เป็นคำถามที่ผมเองก็แปลกใจจนต้องหันกลับมามองตัวเองว่าการหันมาสนใจการเมืองนี่ทำให้ผมเปลี่ยนไปจริงๆ หรือเปล่า แต่ก่อนผมดูเป็นพวก "สองไม่เอา" ที่นิ่งเฉยละเลยกับเรื่องข่าวคราวบ้านเมืองขนาดนั้นเลยหรือ

ไม่น่าจะขนาดนั้นมั้ง...

27 October, 2009

สรุปแล้วก็แค่ "รักเพราะกลัว"

โพสต์การเมืองนี่ ผมก็ไม่ได้เขียนซะนาน วันนี้เกิดมีความรู้สึกอะไรบางอย่างขึ้นมา ขอยกตัวอย่างบทสนทนาระหว่างเพื่อนของคนสองคนมาเขียนเล่าเรื่องสักหน่อย

เพื่อน O: ทำไมเพื่อนต้องเอา "คนที่ผมรักและเคารพ" มาวิจารณ์ในทางลบด้วยละครับ

เพื่อน A: ผมแค่วิจารณ์เรื่องราวไปตามหลักเหตุและผลทางภววิสัยแค่นั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจจะไปทำให้ใครเสียหายทั้งนั้น หากเพื่อนมีเหตุผลข้อโต้แย้งใดๆ มาหักล้างคำวิจารณ์ของผม ผมก็ยินดีที่จะรับฟัง

เพื่อน O: เรื่องนั้นช่างมันเถอะ! จะมีเหตุผลอะไรก็ตามแต่ ผมก็ถือว่าเพื่อนกำลัง "หมิ่น" คนที่ผมรักและเคารพ ทำเช่นนี้ไม่ "กลัว" ติดคุกหรือครับ?

เพื่อน A: ก็ผมชี้แจงแล้วนี่ครับ ว่าผมวิจารณ์ตามหลักเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ทำผิดกฏหมายแต่ประการใด แล้วจะถูกจับติดคุกได้อย่างไร

เพื่อน O: เอาเถอะ ถึงจะเลี่ยงข้อกฏหมายไปได้ เพื่อนไม่รู้หรือครับว่า มีคนตั้งหลายคน "รักและเคารพ" คนคนนั้นเหมือนกัน หากพวกเขาเหล่านั้นไม่พอใจ ก็อาจจะเข้ามารุมทำร้ายเพื่อนก็ได้ ไม่ "กลัว" หรือครับ?

เพื่อน A: ผมคิดว่ามนุษย์ปกติทุกคนต่างมีขอบเขตของการใช้อารมณ์และเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น หากด้วยว่าเรื่องแค่นี้ต้องใช้ความรุนแรง ผมเชื่อว่าคนกลุ่มนั้นก็คงจะต้องไล่ทำร้ายทุกคนที่ขวางหน้ากระมังครับ แม้ผมจะทำนิ่งใบ้เสีย พวกเขาก็คงหาเรื่องทำร้ายจนได้ จะกลัวหรือกล้าก็คงต้องเจ็บตัวอยู่ดี

เพื่อน O (เริ่มจนปัญญา หมดตรรกะโต้เถียง): ต่อให้รอดอันตรายไปได้ เพื่อนรู้หรือไม่ครับว่า สิ่งนี้มันเป็นบาป เพื่อนไม่ "กลัว" ตกนรกหรือครับ?

เพื่อน A: นรก!? ตกลงเรากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ครับ ถึงกับต้องเอาเรื่อง นรก-สวรรค์ บาปบุญคุณโทษ มาอ้างขู่ผม อย่าว่าแต่เรื่องนรกเลยครับ เพื่อนไปเอามาจากที่ไหนครับว่าเรื่องที่ผมพูดนี้เป็นบาป มันมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ของศาสนาไหนหรือ

เพื่อน O .........<นิ่งเฉยเนื่องจากหมดคำอ้าง>............

เพื่อน A (หลังจากเห็นเพื่อนนิ่งไปนาน): ผมเข้าใจแล้ว! สรุป ความ "รักและเคารพ" ทั้งหมดของเพื่อนที่มีต่อคนคนนั้นก็คือ "รักเพราะกลัว" เท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ครับ?

เพื่อน O: @#sc0*n1J+=-99_/"]],] <--- (หลุดโลกไปเลย)

12 September, 2009

วิญญาณหนังสือพิมพ์...จิตร ภูมิศักดิ์

เป็นบทกวีร้อยกรองจากกวีผู้อุทิศตนรับใช้มวลชน (กาพย์ "เปิบข้าว" ที่มีในบทเรียนตอนมัธยมเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ตัดเอามาจากร้อยกรองชุดนี้)

วิญญาณหนังสือพิมพ์...จิตร ภูมิศักดิ์

คลิปซับนรก แขวะการเมือง



ทั้งฮาทั้งเนียน

ป.ล. แม่ยกหรือพ่อยกของ "เด็กเวร" อาจจะไม่ฮาเท่าไร

20 August, 2009

ความเห็นต่อบทความ: ความเข้าใจแบบโง่ๆ ของเสื้อแดงลำปาง...

ผมขอยกตัวอย่างบทความมาบางส่วน ถ้าจะ(ยังอยาก)อ่านเต็มๆก็ไปที่ ความเข้าใจแบบโง่ๆ ของเสื้อแดงลำปาง ต่อกรณีหมอเบญจวรรณ

----------------------------------------------------
ต้นเหตุของเรื่องที่ทำให้เกิดเรื่องไม่เป็นเรื่องก็คือ คนเสื้อแดงที่ชื่อ นางศศิรส ผาสมุทร อายุ 33 ปี ราษฏรเสื้อแดงชาว อ.งาว จ.ลำปาง พาแม่ที่ชื่อนางยอด ศรีนวล เข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเนื่องจากปวดศรีษะ และต้องการขอใบส่งตัวเพื่อไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศูนย์ลำปาง แต่คนเสื้อแดงอ้างว่า ถูกแพทย์หญิงเบญจวรรณ ไม้รอด ต่อว่า เนื่องจากสวมเสื้อ “ความจริงวันนี้” มาที่โรงพยาบาลและไม่ยอมตรวจพร้อมเขียนในสมุดตรวจว่าทำใจไม่ได้ที่จะตรวจคน ที่ใส่เสื้อทักษิณ

ขณะที่ทางแพทย์หญิงคนดังกล่าวก็บอกว่า นางศศิรส เป็นคนไข้เก่าของเธอเอง และเธอก็ได้ทำการรักษาจนหายแล้ว ปัจจุบันก็ยังคงมาใช้บริการนวดตัวที่โรงพยาบาลเป็นประจำเนื่องจากนางยอดป่วย เป็นโรคเกี่ยวกับกระดูก ในวันเกิดเหตุก่อนที่จะเซ็นโอนผู้ป่วยให้กับหมอที่ชำนาญด้านกระดูกดูแลต่อ เธอแค่ถามว่า “ทำไม่ถึงใส่เสื้อสีแดงมาสถานที่ราชการ” ซึ่งเธอยอมรับว่าพูดจริง

แต่ ที่พูดเนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดปัญหาขึ้นในโรงพยาบาล เนื่องจากในพื้นที่อำเภองาว มีการแบ่งสีเสื้อกันอย่างชัดเจนและค่อนข้างรุนแรงแม้แต่ในโรงพยาบาลเองก็ตาม

เมื่อเห็นนางศศิรส ใส่เสื้อสีแดงซึ่งเป็นการประกาศตนเองชัดเจนเข้ามาในโรงพยาบาล จึงได้บอกอย่างอธิบายให้เข้าใจว่า “ทำไม ใส่เสื้อสีแดงเข้ามาไม่สมควรที่จะใส่เสื้อสีใดๆ ก็ตามที่มีความขัดแย้งเข้ามาในสถานที่แบบนี้ เนื่องจากสังคมในเวลานี้กำลังมีความขัดแย้ง และสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ราชการด้วย เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้เท่านั้น”

แค่ตำหนิ ... แต่หมอก็ไม่ปฏิเสธที่รับคนไข้ ดีเสียอีกที่หมอส่งต่อไปให้หมอออโธฯ อีกคน เพื่อให้รักษาอาการโรคกระดูกเฉพาะทาง

ไม่อย่างนั้น แม่เสื้อแดงกระดูกพังไปแล้วครับ

คุณ คิดว่า ด้วยวิจารณญาณของคุณหมอที่เพียงแค่ถาม แต่คนที่พาคนไข้กลับกล่าวหาหมอ แรกๆ ก็พอฟังขึ้นอยู่หรอก แต่พอได้ยินฝ่ายเสื้อแดงพูดว่า หมอเขียนในสมุดตรวจว่าทำใจไม่ได้ที่จะตรวจคนที่ใส่เสื้อทักษิณ ผมถึงเลิกเชื่อสิ่งที่เสื้อแดงพูดเพราะอย่างที่กล่าวมาข้างต้น

คือ ใส่ไข่เกินจริงซะไม่อยากจะเชื่อ แถมยังส่อสันดานถึงสติปัญญาของคนเสื้อแดง ที่ชอบเชื่ออะไรแบบโง่ๆ ตรรกะเดียวกับกราบไหว้เจลลดไข้ขอหวย หรือขูดต้นกล้วยแตกหน่อเพื่อขอเลขเด็ดนั่นแหละ

ถ้าเป็นเช่น นั้น เสื้อแดงลำปาง เจ้าของวีรกรรมปาไข่ใส่ชวน หลีกภัย แน่จริงเอาสมุดที่ว่ามาเทียบลายมือกันดีกว่า ถ้าลายมือไม่เหมือน พวกเสื้อแดงลำปางหน้าโง่ๆ จะออกมากราบเท้าคุณหมอในความโง่บรมเซ่อแบบนี้หรือไม่ เอาแค่ออกสื่อขอโทษผมคิดว่าคงไม่มี อย่างดีก็มุดรูหนี เลิกพูดเรื่องนี้เสียให้จบๆ แต่คุณหมอเสียหายยับเยินไปแล้ว
----------------------------------------------------

ผมว่าบทความนี่แหละครับคือความเข้าใจโง่ๆต่อกรณีนี้อย่างแท้จริง

กรณีที่แพทย์คนหนึ่งแสดงออกไม่ว่าจะเป็นด้วยการกระทำหรือวาจาว่าจงใจเลือกปฏิบัติต่อคนไข้ ก็คือการผิดจรรยาบรรณของแพทย์อย่างแน่นอนแล้ว การย้ายออกจากพื้นที่และให้ออกมาขอโทษเป็นการลงโทษที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว

หมอไม่มีสิทธิ์จะไปตำหนิคนที่เข้ารับบริการทางการแพทย์ไม่ว่าเขาจะใส่เสื้อแดงเสื้อเหลืองหรือสีอะไรก็ตาม เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนบุคคลซึ่งไม่เกี่ยวกับการรักษาแต่อย่างใด

จะมาอ้างว่าไม่อยากมีปัญหาเรื่องการเมืองนั้นเป็นการอ้างด้วยตรรกะที่ห่วยแตกสุดๆ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแต่กลับไปตำหนิคนไข้และญาติในเรื่องที่เป็นการเมืองโดย ทั้งๆที่บุคคลเหล่านั้นยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นกิจกรรมทางการเมืองในโรงพยาบาลด้วยซ้ำ การใส่เสื้อสีใดไปยังที่ใดเป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้โดยชอบธรรมตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญอยู่แล้วในเรื่องสิทธิและเสรีภาพในการเดินทางภายในราชอาณาจักร

แล้วคำพูดที่ว่า "ไม่อย่างนั้น แม่เสื้อแดงกระดูกพังไปแล้วครับ" นี่ก็แสดงถึงอคติของเจ้าของบทความอย่างชัดเจน คนไข้คือผู้เข้ารับบริการทางการแพทย์ ไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณหมอ หมอก็ไม่ได้มีบุญคุณต่อคนไข้ เนื่องจากเป็นการกระทำตามหน้าที่อันพึงทำตามวิชาชีพ นี่คือสัมพันธ์ทางสังคมแบบทุติยภูมิ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลยในเรื่องที่จะยกเอาบุญคุณมาลำเลิก ถ้าหมอกับคนไข้รู้จักกันส่วนตัวและได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องที่ไม่ใช่การกระทำตามหน้าที่ก็ว่าไปอย่าง

อีกอย่างคือเรื่องข้อความในกระดาษโน้ตนั้น ผู้เขียนทราบได้อย่างไรว่าเป็นของปลอม มีรายงานแล้วหรือว่าลายมือในโน้ตนั้นไม่ใช่ของหมอ หรือว่าเจ้าของบทความฝันไปแล้วมีพระอินทร์เข้าฝันมาบอก ถึงได้มาท้าเหยงๆให้เสื้อแดงไปกราบตีนหมอ

ถ้ามีพิสูจน์ว่าเป็นของจริงหละ เจ้าของบทความจะไปกราบตีนขอขมาคนเสื้อแดงหรือไม่ ที่เขียนบทความชุ่ยๆเช่นนี้ขึ้นมา

17 August, 2009

FW Mail ปลอมแปลงพระราชกระแสรับสั่ง

ข้อความข้างล่างนี้เป็น Forward mail ที่ผมได้รับจากคนรู้จักท่านหนึ่ง ผมเห็นว่ามีการนำเสนอข้อความอันไม่เหมาะสม ล่วงเกินพระยุคลบาทของพระมหากษัตริย์ไทยอย่างร้ายแรง

อ่านแล้วน่าใจหาย

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่น้องที่ทำงานเล่าให้ฟัง

พอดีว่า.. คุณพ่อของน้องคนนี้รับราชการทหาร และได้เลื่อนรับตำแหน่งใหม่ไปประจำการที่อื่น ซึ่งมีโอกาสได้เข้าเฝ้าในหลวงเพื่อรับพระบรมราโชวาทรับตำแหน่งใหม่ ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เอง อันเป็นช่วงที่บ้านเมืองกำลังเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย มีจลาจลของกลุ่มคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ และตามต่างจังหวัดเลยอยากเล่าแบ่งปันให้ทุกคนรู้บ้าง ต้องขอโทษหากใช้คำราชาศัพท์ไม่ถูกต้องค่ะ

ข้าราชการที่มีโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองพระบาท ในครั้งนี้ ได้แก่ เหล่าข้าราชการทหารที่ได้รับการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่ง เหล่าภริยาและบุตรธิดาของนายทหารเหล่านี้ และในนี้ก็มีคุณพ่อ และน้องคนนี้ที่เข้าเฝ้าฯ ด้วย
ทุกคนต่างเห็นเหมือนกันว่า ในหลวงท่านทรงมีพระพักตร์ที่เศร้าหมอง ทรงดำรัสน้อยมาก น้อยมากจริงๆ และน้ำเสียงของพระองค์ดูเศร้าเช่นกัน

สรุปจากพระราชดำรัส ต้องขอโทษด้วยสรุปเอาจากที่น้องเขาเล่าให้ฟังนะ

" ....ตอนนี้บ้านเมืองวุ่นวาย กำลังมีปัญหา ขอให้พวกท่านไปดูแลหัวเมืองอย่างสงบ ดูแลรักษาประชาชน อย่าทำร้ายประชาชน ประเทศไทยไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ ทุกคนมีการศึกษา มีความคิดที่จะเลือกตัดสินใจทำอะไร จริงแล้วปัญหาเกิดขึ้นกับกษัตริย์หลายรัชสมัย แต่คงมีรัชกาลของเราที่ดูจะร้ายแรงที่สุด เพราะประชาชนแตกแยกกัน คงจะหมดกษัตริย์ในรัชสมัยของเรา..."


น้องเขาบอกว่า ฟังแล้วอยากจะร้องไห้ แต่เห็นภริยานายทหารหลายท่านร้องไห้ด้วย ตอนนี้ทหารแบ่งเป็นสองกลุ่มหลักๆ กลุ่มหนึ่งยังจงรักภักดีต่อในหลวง และอีกกลุ่มเป็นพวกทหารญาติคนหนีคุกค่ะ


ดูจากสำนวนเนื้อหาโดยเฉพาะเนื้อความที่อ้างว่าเป็นพระราชกระแสรับสั่งแล้ว ผมมั่นใจในระดับหนึ่งเลยว่า ทั้งหมดเป็นการปลอมแปลง(หรืออาจจะดัดแปลง)พระราชกระแสรับสั่งโดยมีจุดประสงค์แอบแฝงและใช้สถาบันพระมหากษัตริย์มาแอบอ้างเป็นเครื่องมือ เป็นการดึงฟ้าลงต่ำอย่างจงใจ

อ่านแล้วผมใจหายเหมือนกัน แต่คนละแบบนะ ถ้ามีคนเชื่อข้อความแบบนี้เข้าไปได้ "ดูแลหัวเมือง" "คอมมิวนิสต์ = ไม่มีการศึกษา" ผมอ่านแล้วหัวเราะจนแทบจะสำลักข้าว ดูเหมือนว่าผู้เขียนน่าจะหลุดมาจากสมัยอยุธยาแล้วก็นั่ง Time Machine ต่อไปรบกับกองทัพคอมมิวนิสต์มา

ยิ่งประโยคที่ว่า "คงจะหมดกษัตริย์ในรัชสมัยของเรา" อันนี้ทำให้ผมมั่นใจยิ่งขึ้นไปอีกคนแต่งไม่ได้ประสงค์ดีและมีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯแน่ๆ

แล้วประเด็นที่อ้างว่าคนต้นเรื่องเป็นลูกทหารก็เลยได้เข้าเฝ้าฯ ผมว่ามันทะแม่งๆอย่างไรก็ไม่รู้ หากท่านใดมีความรู้เรื่องระเบียบพิธีการ ผมขอให้ช่วยชี้แจงด้วย

ขอให้คนที่ได้รับ Forward Mail ลักษณะนี้ช่วยกันแฉความระยำของคนต้นคิดกันต่อๆไปด้วย อย่าให้มันใช้พระเกียรติของในหลวงมาเป็นเครื่องมือมอมเมาประชาชน

12 August, 2009

พระราชินีตรัสชื่นชม “ตี๋ ชิงชัย”


เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระราชทานพระราชวโรกาสให้ นายชิงชัย อุดมเจริญกิจ หรือ ตี๋ ชิงชัย ศิลปินผู้สูญเสียมือขวาจากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 พร้อมภรรยาเข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายพระบรมสาทิสลักษณ์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่นายชิงชัยวาดด้วยมือซ้าย ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารว่า “เก่งมาก”


“ตี๋ ชิงชัย” เป็นหนึ่งในศิลปินนักสู้ที่เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญและขับไล่รัฐบาลนอมินีระบอบทักษิณเมื่อปี 2551 ในเหตุการณ์ที่ตำรวจใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภาและลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมนั้น “ตี๋ ชิงชัย” ถูกระเบิดแก๊สน้ำตาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจนมือข้างขวาที่เคยใช้วาดรูปขาด กระจุยและกล่องเสียงถูกทำลาย แต่มีตำรวจบางคนและสื่อมวลชนบางฉบับ ได้กล่าวหาใส่ร้ายนายชิงชัยว่ากำระเบิดมาเอง ทั้งที่ในความเป็นจริงสิ่งที่เขากำอยู่ในมือคือพวงกุญแจหนัง “ตี๋ ชิงชัย” จึงต้องพึ่งกระบวนการยุติธรรมด้วยการฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายตำรวจและสื่อ ที่บิดเบือนข้อเท็จจริงในข้อหาหมิ่นประมาท จนนายตำรวจคนดังกล่าวและสื่อมวลชนฉบับนั้นยอมขอโทษ และซึ่งด้วยความใจกว้างของ “ตี๋ ชิงชัย” เขาจึงยอมถอนฟ้องในเวลาต่อมา และใช้เวลาไปกับการฝึกฝนการวาดภาพด้วยมือซ้าย ซึ่งในที่สุดก็ได้ผลงานที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้การวาดด้วยมือขวาแต่อย่างใด จนได้รับพระราชทานพระราชวโรกาสให้เข้าเฝ้าฯ เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายผลงานดังกล่าว

ที่มา ผู้จัดการออนไลน์

20 March, 2009

ดาวสภาคนใหม่


วิสารดี (ยิ้ม) เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เขต 2 จ.เชียงราย พรรคเพื่อไทย (ลงสมัครในพรรคพลังประชาชน)

วันเดือนปีเกิด 23 ธันวาคม 2524

ลูกสาวคนสวยเพียงคนเดียวของนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ สมาชิก บ้านเลขที่ 111

ในที่สุดผมก็หาข้อดีของการยุบพรรคเจอแล้ว เพชรน้ำงามหน้าใหม่ได้เกิดหลายคนเลยทีเดียว งามจริงๆนะคนนี้หน่ะ

ศึกอภิปรายฯคราวนี้ พรรคเพื่อไทยรับกำไรเต็มๆ นอกจากจะได้ทั้งกระซวกลากไส้แถมหลอกด่ารัฐบาลไปหลายดอกแล้ว ยังได้โบนัสโกยคะแนนสงสารแบบเรียกได้ว่าเก็บกันแทบไม่ทัน

จากภาพของพรรคผู้ดี มาดหล่อ กลายมาเป็นพรรคนางร้ายปากตลาดไปในฉับพลัน ส่วนเพื่อไทยที่โดนกลั่นแกล้งรังแกมาตลอดก็รับบทนางเอกไปฟรีๆ

ประชาธิปัตย์คงกะฝังกลบ "หลุม" หน้าใหม่หลุมนี้เต็มที่อยู่แล้ว ส.ส.สมัยแรกอายุ 27 หมาดๆ ประสบการณ์ไม่มี อภิปรายไม่ทันจบก็โดนเล่นงานแบบ 4 รุม 1 ด้วยข้อหา "อธิบายประกอบลีลา" ทับซ้ำด้วย "อ่านโพย ไม่ใช้สมอง" แรงกันจนซะฝ่ายเพื่อไทยทนไม่ได้รีบออกมาปกป้องน้องเล็ก ยกคำศักดิ์สิทธิ์ "ศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง" มาเป็นเกราะกำบัง เล่นเอาผู้ชมฮาร์ดคอร์เกาะหน้าจอลุ้นอยากเห็นฉากตบเต็มที่ แม้แต่ประธานสภายังเครียดจนหน้าแดง

ใครจะเชื่อ ส.ส.สาวกลับมามาดนิ่ง หยุดอภิปรายมันซะดื้อๆ พี่ๆป้าๆพรรคประชาธิปัตย์ถึงกับอึ้ง กว่าจะรู้ตัว นี่มันไม่ใช่หลุมธรรมดานี่หว่า "กับดัก" ชัดๆ จะชักเท้ากลับก็สายไปเสียแล้ว ช่วงพักเทพเทือกคงเรียก ส.ส.หญิงลูกพรรคไปอบรมชุดใหญ่แน่นอน "พวกแกจะไปชงให้อีนังหนูนี่ทำไม? โดนเล่นซะชาทั้งพรรค"

งานนี้น่าเห็นใจที่สุดคงเป็นเฉลิม อยู่บำรุง ก็พี่แกเล่นหมายมั่นปั้นมือจะเป็นดาวสภา ส้มกลับไปหล่นที่ลูกพรรคตัวเองซะงั้น งานนี้คงไม่มีเคืองกันนะครับ

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์เจ็บตัวคราวนี้ คงจะจำชื่อ ส.ส.เชียงรายหน้าสวยคนนี้ไปอีกนาน "วิสารดี เตชะธีราวัฒน์"

13 March, 2009

ปาฐกถา ดร.ทักษิณ ชิณวัตร ที่ฮ่องกง

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2009
ปาฐกถา ดร.ทักษิณ ชิณวัตร ที่ฮ่องกง

วิกฤตเศรษฐกิจโลก : ทำไมจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่วิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตทางปัญญา
โดย ดร.ทักษิณ ชิณวัตร

ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ฮ่องกง

12 มีนาคม 2552


ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้สถาบันการเงินล่มสลายจนได้ลุกลามกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลกครั้งนี้เกิดขึ้นจากนักการเงินใช้จ่ายเงินเกินตัวอย่างไร้เหตุผล การกำกับดูแลตรวจสอบสถาบันการเงินที่ไร้ประสิทธิภาพ และถ้าเราเชื่ออีกว่า การโยกย้ายผ่องถ่ายเงินไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วเป็นต้นเหตุสำคัญของวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ผมคิดว่าเรากำลังจะพลาดประเด็นที่สำคัญของปัญหาไปอย่างน่าเสียดาย

เราทราบกันดีว่าต้นเหตุของวิกฤตครั้งนี้เกิดขึ้นชัดเจนตั้งแต่ปี 1997 โดยการโจมตีค่าเงินบาท และลุกลามกลายเป็น “วิกฤตการเงินของเอเชีย” ทุกประเทศในเอเชียยกเว้นเกาหลีเหนือได้ดำเนินนโยบายตาม “ฉันทามติแห่งวอชิงตัน” (Washington’s Mantra) ซึ่งแต่ละประเทศประสบความสำเร็จมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป แต่ดูเหมือนว่าประเทศที่เดินตาม “ฉันทามติแห่งวอชิงตัน” อย่างเคร่งครัดในครั้งนั้นจะกลับกลายเป็นประเทศที่ได้ผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตการเงินรอบใหม่ในครั้งนี้

“ฉันทามติแห่งวอชิงตัน” ที่ทุกประเทศท่องจำจนขึ้นใจ คือ คำว่า “ตลาดเสรี” (Free Markets) ตลาดที่เป็นอิสระจากการกำกับควบคุมดูแล และจะนำไปสู่ความมั่งคั่งอย่างไม่มีขีดจำกัดสำหรับคนทุกหมู่เหล่า

ผมเติบโตมาในประเทศที่ได้รับประโยชน์มหาศาลจากการยอมรับนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ยุคสงครามอินโดจีน ชนชั้นปกครองเชื่อว่า ประเทศจะประสบความสำเร็จและก้าวหน้าด้วยการเปิดประเทศ ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับใครก็ตามที่ต้องการทำธุรกิจกับเรา โดยเฉพาะเมื่อมีข้อเสนอดีๆจาก 2 ประเทศมหาอำนาจ คือ สหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น ที่เวลานั้นเป็นหัวขบวนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

แนวความคิดจากต่างประเทศได้รับการยอมรับและนำไปปฏิบัติด้วยดี โดยไม่มีการตั้งคำถามว่า เราจะถูกกลืนเข้าไปในวังวนห่วงโซ่อุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการหรือไม่ อย่างไร รวมทั้งระบบการเงินที่เราไม่สามารถตีตัวออกห่างได้ แม้ในยามที่เราประสบกับวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุด เราไม่สามารถมีปากเสียงที่จะไปต่อกรว่า ความเชื่อมโยงต่างๆเหล่านี้ถูกบงการมาอย่างไร เราต้องปล่อยไปตามกระแส หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นพวกชาตินิยมและจะไม่สามารถแข่งขันกับใครได้ การพัฒนาทักษะจากจุดแข็งที่มีอยู่ของคนในประเทศถูกกล่าวหาว่าเป็นสิ่งเชื่องช้าล้าหลัง

การหมุนเวียนของเงินและความหลากหลายของตราสารทางการเงินที่ถูกสร้างขึ้นจากศูนย์กลางการเงินต่างๆของโลกนั้นเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณวันต่อวัน ความรุ่งเรืองและความถดถอยเป็นวัฏจักรของธรรมชาติ แต่จะเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก ถ้าเกษตรกรและคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมของเราต้องเดือดร้อนโดยได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัญหาภายในประเทศ แต่วิกฤตกลับเกิดเพราะรัฐบาลในขณะนั้นไม่มีความรู้ รู้ไม่เท่าทันการไหลเวียนของตราสารทางการเงินในตลาดต่างประเทศที่อยู่ห่างไกลจากอีกซีกโลกหนึ่ง

วิกฤตเศรษฐกิจในปี 1997 ทำให้เราต้องกลับมาเริ่มต้นคิดใหม่ว่า เราจะสามารถก่อร่างสร้างตัวได้อย่างไรในแนวทางที่มีเหตุมีผล ซึ่งจะทำให้เราสามารถควบคุมเศรษฐกิจให้ดำเนินไปในแบบอย่างที่เราอยากจะให้เป็นได้มากขึ้น ผลของการคิดอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบถูกร่างเป็นนโยบายของพรรคการเมืองที่ผมก่อตั้งขึ้นด้วยแนวความคิดหลักที่ต้องการให้คนไทยทั่วทั้งประเทศทุกพื้นที่นำจุดเด่น จุดได้เปรียบ ของตนเองมาผลิตสินค้าและบริการออกไปขาย และแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพได้ในตลาดโลก ทั้งยังเสนอวิธีการช่วยเหลือและพัฒนาความได้เปรียบเหล่านั้นให้มีประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรม

แนวความคิดนี้ไม่เชื่อเรื่องการปิดประเทศ การปิดประเทศอาจเป็นไปได้ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ แต่เราเลือกที่จะไม่ถอนตัวจากเศรษฐกิจโลก แต่จะทำให้ประเทศไทยดีขึ้น และเป็นประเทศที่น่าอยู่สำหรับทุกคน ผมมีความยินดีที่จะรายงานว่า หลายนโยบายที่ผมได้พัฒนาไว้ รัฐบาลต่อๆมาของไทยเห็นด้วยและนำมาใช้บริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง แม้บางครั้งจะถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นอย่างอื่น แต่สาระสำคัญของนโยบายยังคงอยู่เหมือนเดิม


ครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงวิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตทางปัญญาของโลก นาย โทนี่ แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ให้ความเห็นว่า ถ้าคุณไปถาม ผู้เชี่ยวชาญว่า จะแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้อย่างไร คำตอบที่คุณจะได้รับ น่าจะเป็นคำตอบว่า “ผมจนปัญญาจริง ๆ ครับ”

วิกฤติครั้งนี้เป็นวิกฤตทางปัญญาของโลก (Intellectual Crisis) ซึ่งเป็นผลจากการปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง และที่สำคัญที่สุดปฏิเสธที่จะคิดแก้ปัญหาจากภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Economy)

ความสำเร็จของอเมริกาและญี่ปุ่นเกิดขึ้นจากการที่ประเทศทั้งสองเรียนรู้ความก้าวหน้าจากการปฏิวัติ อุตสาหกรรมในยุโรป รวมทั้งการพัฒนาทักษะความสามารถในการผลิตสินค้าจำนวนมาก (Mass Production) เพื่อตอบสนองความต้องการของโลก นวัตกรรมใหม่ถูกคิดค้นด้วยมันสมองและแรงงานที่มีคุณภาพ แต่ในปัจจุบัน กลับไม่เป็นเช่นนั้น นักศึกษาที่ฉลาดที่สุด เก่งที่สุด ดีที่สุด เมื่อจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา กลับหลั่งไหลไปทำงานในธุรกิจบริการด้านการเงินการธนาคาร ดังนั้นความคิดสร้างสรรค์ใหม่จึงถูกจำกัดอยู่เพียงแค่การออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงลิบลิ่วเท่านั้น และถ้าหากว่ามีใครกล้าตั้งคำถามว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะมีความยั่งยืนมั่นคงเพียงใด คนแหล่านั้นก็อาจจะถูกโจมตีได้ว่า เป็นพวกมีความคิดล้าหลังและเป็นพวกต่อต้านความเจริญก้าวหน้าของโลกยุคโลกาภิวัฒน์


วันนี้ไม่มีใครสามารถหมุนเวลาย้อนกลับ และถอนตัวจากเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ได้ สิ่งที่เศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ต้องการ คือ การถูกกำกับดูแลระดับโลก (Globalized Regulation) ซึ่งยังไม่มีประเทศใดกล้าที่จะพูดถึง เพราะการทำเช่นนั้น หมายถึงการท้าทายความเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกของสหรัฐอเมริกา คู่ค้าที่สำคัญอย่างประเทศจีน มีประสบการณ์มากมายในอดีต น่าจะมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาในขณะนี้ได้ แต่ก็ยังไม่กล้าทำเช่นนั้น เพราะด้วยเหตุผลทางการเมืองที่ไม่ต้องการแสดงให้เห็นว่า จีนอยากแข่งขัน และเป็นผู้นำของโลกแทนสหรัฐอเมริกา จีนต้องการคงบทบาทเป็นแค่เพียงผู้สนับสนุนที่ดีเท่านั้น

ขณะที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปกำลังหาทางแก้ปัญหาวิกฤตทางปัญญาอยู่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ กำลังหาทางที่จะผลิตสินค้าและบริการอะไรสักอย่างที่ดีกว่า การสร้างตราสารทางการเงิน และเป็นความต้องการของตลาดโลกชิ้นใหม่ที่สำคัญ ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่จีนและอินเดียไม่สามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า


อะไรคือหนทางรอดของประเทศเล็กๆที่เหลืออยู่ในภูมิภาคเอเชีย ?

เราต้องสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพให้ได้ ด้วยทรัพยากรที่เรามีอยู่ ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าใครทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ คนของเราได้รับการศึกษาที่ดีกว่าในอดีตมาก ประกอบกับคนงานของเราไม่ได้มีความมั่นคงในหน้าที่การงานเหมือนกับที่ชาวอเมริกันในอุตสาหกรรมรถยนต์และเหล็กได้รับมายาวนาน ดังนั้นเราจึงสามารถฝึกอบรมคนงานของเราใหม่ได้ไม่ยาก โดยไม่ต้องกลัวกับการต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้จัดการทั้งหลาย ที่หมดไฟในการทำงานและขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ

อุตสาหกรรม การเกษตรของเราก็ก้าวมาถึงขั้นที่สามารถปรับปรุงคุณภาพและความหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างๆที่มีอยู่มากมายทั่วโลก อุตสาหกรรมระดับหมู่บ้านก็สามารถปรับให้อยู่ในรูปของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กคล้ายกับของประเทศอิตาลีที่สามารถเอาตัวรอดได้ในยามวิกฤตมานับครั้งไม่ถ้วน ระบบเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ (Creative Economy) ไม่จำเป็นที่จะต้องถูกผูกขาดเฉพาะชาวยุโรปเท่านั้น ระบบเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ และจะต้องถูกพัฒนาอย่างจริงจัง จะเป็นทางออกที่สำคัญของประเทศในอนาคต จะเป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ จะทำให้เกิดการสร้างงานที่มั่นคงและสังคมที่แข็งแรงในอนาคต


ทั้งหมด ที่ผมได้กล่าวมานี้ จำเป็นจะต้องได้รับความช่วยเหลือด้านการพัฒนาอย่างมีเป้าหมายซึ่งสามารถทำได้ ทุนสำรองระหว่างประเทศไม่ใช่สิ่งที่ไม่สำคัญแต่คงไม่มีประเทศใดใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ทั้งหมดไปกับการแก้ไขปัญหาของประเทศ เพราะกลัวว่าประเทศจะประสบกับภาวะวิกฤตทางการเงิน ด้วยเหตุนี้เองที่แนวทางในการพัฒนาตลาด “พันธบัตรเอเชีย” (Asia Bonds) ที่ผมเป็นผู้ริเริ่มจึงมีบทบาทสำคัญ หากจีนและญี่ปุ่นยอมรับที่จะเป็นผู้นำในการนี้ ประกอบกับความร่วมมือของประเทศอื่นๆที่มีทุนสำรองส่วนเกิน เราจะมีแหล่งเงินทุนสำหรับใช้พัฒนาเศรษฐกิจของเราในอนาคตได้อย่างมั่นใจ

ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าประเทศในเอเชียและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆในโลกจะอยู่ได้อย่างมั่นคงโดยไม่คำนึงถึงประเด็นเกี่ยวกับธรรมาภิบาล ซึ่งขณะเดียวกันเรายังต้องรักษาและยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ดังการศึกษาของ “อมาตยา เซน” (Amartya Sen) ที่แสดงให้เห็นว่า “ระบอบประชาธิปไตย เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยป้องกันปัญหาความอดอยาก” มีแต่การพัฒนาที่สมดุลที่คนจนและคนด้อยโอกาสไม่ถูกละเลยเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งเสถียรภาพในระยะยาว

เราจำเป็นต้องเรียนรู้ความสำเร็จของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ใช้นโยบายยืดหยุ่นและละเอียดอ่อนในการปกครองประชาชนและการบริหารประเทศจนประสบความสำเร็จอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้จีนกลายเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้า ทำรายได้ และที่สำคัญมีเงินออมมากมายเพียงพอที่จะอุดหนุนการใช้จ่ายการบริโภคของประชาชนในประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้

จากวิกฤตครั้งนี้ ถึงเวลาแล้วที่จีนจะต้องใช้เงินออมที่มีอยู่เป็นแหล่งทุนสำหรับการสร้างโอกาส สร้างความมั่งคั่ง ให้กับประชาชนของตน ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคม ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ทั่วทั้งประเทศทัดเทียมและดียิ่งขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะการทำเช่นนี้นอกจากจะช่วยลดแรงกดดันทางสังคมและการเมืองที่มีต่อพรรคคอมมิวนิสต์แล้ว ยังช่วยลดแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาได้อีกด้วย

เรา ต่างรู้ดีว่าปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้...ร้ายแรงกว่าที่หลายคนคิดไว้มาก จนในที่สุดรัฐบาลอาจหนีไม่พ้น จำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่กำลังล่มสลาย แต่รัฐบาลของเราต้องให้ความช่วยเหลืออย่างมีความซื่อสัตย์ทางปัญญา กล้าปฏิเสธความไม่ถูกต้อง หากจำเป็นต้องเข้าไปรับผิดชอบความเสียหายของธุรกิจใดๆก็ตาม ต้องทำอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม รัฐบาลต้องกล้าที่จะประกาศว่า เงินภาษีของประชาชนที่รัฐบาลจะนำไปให้ความช่วยเหลือนั้นจะต้องไม่ถูกนำไปจ่ายเป็นค่าโบนัสให้กับบรรดาผู้บริหารทั้งหลายที่สร้างความเสียหายให้กับ ธุรกิจนั้น


ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะไม่มีทางแก้ไขได้ ถ้านักเศรษฐศาสตร์ยังคิดว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินไปข้างหน้า ต้องพึ่งพาพลังเศรษฐกิจขนาดใหญ่เท่านั้น ถึงวันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่า ความสามารถในการชำระหนี้ต่างหากคือกุญแจสำคัญไม่ใช่เรื่องของขนาดเท่านั้น “ขนาด” จะมีบทบาทช่วยได้ ตราบเท่าที่ “ขนาด” และความสามารถในการชำระหนี้เดินหน้าไปพร้อมๆกัน

ธุรกิจจะเติบโตได้ตราบเท่าที่มีความสามารถในการชำระหนี้ ความสามารถในการชำระหนี้ย่อมเกิดจากความสามารถในการสร้างรายได้สุทธิ (Net Income) เงินออมจะมีประสิทธิภาพได้ ก็ต่อเมื่อเงินออมนั้นมาจากรายได้สุทธิเช่นกัน

สมมติว่าเราสามารถคลี่คลายวิกฤตสถาบันการเงินของโลกได้แล้ว ธนาคารกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง เพราะได้รับการชดเชยและสนับสนุนจากรัฐบาล ธนาคารเหล่านั้นจะทำธุรกิจอะไร พวกเขาจะให้ใครกู้เงิน และจะให้เงินกู้เพื่อทำธุรกิจแบบเดิมๆอีก...อย่างนั้นหรือ

วันนี้ท่าเรือสำคัญของโลกเต็มไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์ที่อัดแน่นด้วยสินค้าที่ผลิตแบบเดียวกัน เหมือนกัน จำนวนมากมายมหาศาล เราจะผลิตสินค้าแบบนั้นเพิ่มขึ้น.....อีกหรือ คนงานจีนจะยังเดินหน้าผลิตรถยนต์เหมือนกับที่คนงานอเมริกันคงผลิตและขายไม่ออก....อีกหรือ

เราต้องยอมรับว่าสินค้ากำลังล้นตลาด การผลิตสินค้าแบบอุตสาหกรรม (Mass Production) มีขีดจำกัด เราจึงจำเป็นต้องสนับสนุนการสร้างรายได้แบบใหม่ด้วยการผลิตสินค้าและบริการ ที่อาศัยความได้เปรียบจากสินทรัพย์วัฒนธรรม ภูมิปัญญาแห่งชนชาติ และการผลิตด้วยทักษะแรงงาน ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมทั้งสนับสนุนการสร้างตลาดที่จะแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างท้องถิ่นที่คึกคักและมีชีวิตชีวา


วันนี้...จึงเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องพยายามค้นหาสินค้าและบริการเหล่านั้นให้พบ รวมทั้งให้การสนับสนุนด้านเงินทุนในทุกวิถีทาง เพื่อทำให้ธุรกิจเหล่านี้อยู่รอด เราจึงจะสามารถสร้างระบบเศรษฐกิจที่มั่นคงและสังคมที่แข็งแรงได้ในระยะยาว

ผมเชื่อว่า อเมริกามีพลังของภูมิปัญญาในหลากหลายแขนง ซึ่งสามารถสร้างสรรค์สินค้าและบริการอย่างมีคุณภาพสูง โดยไม่จำเป็นต้องแข่งขันด้านราคากับใคร โลกกำลังต้องการพลังงานทดแทนที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำอย่างพลังงานนแสงอาทิตย์ โลกกำลังต้องการเทคโนโลยีและบริการที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม

อเมริกามีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และสามารถสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของโลกยุคใหม่นี้อย่างไม่ยากเย็น เมื่อสหรัฐอเมริกาเริ่มที่จะใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเหล่านี้ ก็จะเป็นการบังคับให้ประเทศต่างๆในเอเชียรวมทั้งประเทศอื่นๆในโลก ต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ

สติปัญญา ของชาวอเมริกัน สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ ให้เกิดขึ้นมาได้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อชาวอเมริกันเอง รวมทั้งต่อประเทศอื่นๆ ในโลก เพียงแต่ชาวอเมริกันต้องยอมรับว่า “โลกในอนาคตจะต้องไม่ถูกกำหนดจากวอลสตรีท ที่สำคัญสินค้าและบริการต้องมีความสัมพันธ์กับการจ้างงาน รวมทั้งให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และนำมาซึ่งรายได้สุทธิ (Net Income) ที่คุ้มค่ากับความตั้งใจที่ใส่ลงไป”


การสร้าง เศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Economy) มีความสำคัญอย่างยิ่ง การค้าตราสารทางการเงิน (Paper Trading) จะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสมเท่านั้น

หากบรรดาผู้นำทางปัญญาในสหรัฐอเมริกา ยอมรับแนวคิดนี้ได้เร็วเท่าใด ผลดีที่จะเกิดขึ้นต่อเราทุกคนในโลกก็จะมีมากขึ้น...เท่านั้น

http://thaienews.blogspot.com/2009/03/dr-thaksin-shinawatra-address-to.html

08 February, 2009

นี่สิ ทหารกล้าที่แท้จริง


"แม้กองทัพจะอ้างว่าปกป้องสถาบัน แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่จะปกป้องอย่างได้ผลนั้นคือความศรัทธาของประชาชนเท่านั้น ไม่ใช่การที่กองทัพจะมาผูกขาดการปกป้องเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว"

"บางคนพยายามบอกให้ได้ยินกันไปทั่วว่า ทหารคือม้าของพระราชา และรัฐบาลเป็นเพียงจ๊อกกี้ แต่เมื่อคนทั้งสนามพากันเชียร์จ๊อกกี้กันกึกก้อง ไม่ได้เชียร์ม้า แล้วม้ายังไม่ทำตามจ๊อกกี้ สิ่งที่ต้องทำก็คือฆ่าม้าตัวนั้นทิ้งไปเสีย"


คำพูดนี้เป็นของนายทหารผู้หนึ่งจากงานสัมมนาที่จัดโดยเครือข่ายเลี้ยวซ้ายที่จุฬา
ผมไม่ทราบว่านายทหารท่านนี้ชื่ออะไรจึงไม่ได้ใส่ไว้เป็นเกียรติแก่ท่าน หากท่านคือนายทหารท่านนั้นหรือรู้จักเขา กรุณาแจ้งผมด้วยครับ
http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic.php?id=776225

12 January, 2009

1 ปีกับลินุกซ์

อันที่จริงก็ไม่ใช่ 1 ปีเป๊ะๆหรอก เพราะถ้านับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มใช้ลินุกซ์จริงจังก็ต้องเริ่มนับวันที่ 29 ธันวาคม 2007 หรือถ้าจะนับตั้งแต่ลงครั้งแรกก็ต้องเป็นเดือนมิถุนายน 2007 (จำวันไม่ได้แฮะ)

ลินุกซ์ตัวแรกที่ได้สัมผัสด้วยตนเองก็คือ Ubuntu 7.04 Feisty Fawn ตอนนั้นจำได้ว่าตื่นเต้นมาก ลงปุ๊บ ใช้ได้ปั๊บ ไม่ต้องลงไดรเวอร์ ไม่ต้องลงโปรแกรมสารพัด หน้าตาก็สวยงาม แต่สุดท้ายเล่นได้แค่ 1 คืนก็ยอมแพ้เพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ จะถามใครก็ไม่ได้ แถมบ้านก็ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตอีกต่างหาก

หลังจากนั้นก็คิดถึงและหาข้อมูลเกี่ยวกับลินุกซ์มาตลอด แต่เข็ดไม่กล้าลงบวกกับขี้เกียจด้วย แถมกำลังอยู่ในช่วงเห่อ MacBook อยู่ (ใช้เงินทุนซื้อเอา) มาลองเสี่ยงดูอีกทีก็ช่วงหยุดปีใหม่ ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นวันที่ 29 ธันวาคม คราวนี้ลอง Ubuntu 7.10 Gutsy Gibbon ลงเสร็จก็แบกโน้ตบุ๊คเครื่องเก่า Toshiba M70 ไปที่คณะฯ (คณะวิทยาศาสตร์ มหิดล พญาไท) เพื่อเอาไปต่อ Wi-fi ที่นั่น (ที่บ้านยังคงไม่มีอินเตอร์เน็ต...อนาถาจริงๆ) คราวนี้เริ่มมีประสบการณ์ ลองเล่น ลองลงโปรแกรมไปเรื่อยๆ มั่วจนเจ๊งไปไม่รู้กี่รอบ แต่ทุกครั้งที่ลงใหม่ก็มีความรู้เกี่ยวกับพาร์ติชันและระบบของลินุกซ์มากขึ้น ไม่ได้เสียเวลาเปล่า

ผ่านไปประมาณ 1 เดือน ในที่สุดก็เริ่มใช้เป็นแล้ว และก็สมัครสมาชิก ubuntuclub.com ด้วย คราวนี้ก็ไล่ลอง distro กับเครื่อง Desktop ที่บ้าน (โน้ตบุ๊คไม่กล้าลองอะไรมากเพราะต้องใช้ทำงาน) เริ่มเอาจากพวกที่เป็น Ubuntu-based ก่อน เช่น LinuxMint, LinuxTLE, Kubuntu, Suriyan แล้วก็เริ่มเล่นตัวอื่นๆ ที่พอนึกออกก็มี PCLinuxOS, Puppy Linux, Slax, Mandriva, DreamLinux, Fedora เป็นต้น
ช่วงปลายปีนี้เอง เดือนตุลาคม 2008 ในที่สุด ก็อ้อนจนได้ติด adsl internet ที่บ้าน เป็น hi-speed internet 2 Mb ของทรู คราวนี้แหละสวรรค์ ไม่ลอง distro อะไรแล้ว คิดว่า Ubuntu นี่แหละโดนใจที่สุดแล้วในตอนนี้ (อนาคตไม่แน่...อิอิ) สรุปตอนนี้เครื่อง Desktop ก็เป็น Ubuntu 8.10 Intrepid Ibex ส่วนโน้ตบุ๊คเป็น Ubuntu 8.04 Hardy Heron กะว่าไว้ Ubuntu 9.04 Jaunty Jackalope ออกเมื่อไหร่ จะลงใหม่ทั้งสองเครื่องเลยทีเดียว

MacBook ตอนนี้ก็ตกกระป๋อง แทบจะถูกตัดขาดจากกองมรดก ยกเว้นทำสัมนา ยังไงก็ต้อง Keynote (รับไม่ได้กับ OpenOffice.org จริงๆ)

ประเดิมเรื่องแรก: การเป็น TA ครั้งแรก

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ไปเป็นผู้ช่วยสอนให้อาจารย์ John วิชา Ecology ที่ศาลายา ไปตั้งแต่เช้ากว่าจะกลับถึงหอก็เกือบสามทุ่ม เพิ่งเข้าใจวันนี้เองว่าการเป็นอาจารย์มันเหนื่อยสาหัสขนาดไหน (แถมนี่ทำฟรี ไม่ได้เงินอีกต่างหาก) ดีหน่อยนะที่เด็กภาคชีววิทยาปีนี้น่ารัก....ความน่ารักที่ว่าหมายถึง
  1. ส่วนใหญ่เก่งกันมาก ไม่ค่อยถามอะไรกันเลย สงสัยว่าจะรู้ทุกเรื่องแล้ว แต่พออาจารย์ถามก็แทบจะไม่มีใครตอบเลย สรุปว่าเก่งหรือไม่เก่งกันแน่เนี่ย (เด็กไทยเป็นอย่างนี้ 90%) แต่ก็มีที่กล้าถามกล้าตอบบ้างนะ ไม่ใช่ว่าไม่มีเลย ขอชมเชยไว้ ณ ที่นี้
  2. ตรงต่อเวลากันดีจริงๆ อาจารย์นัด 8 โมงเช้า ส่วนใหญมากันเร็ว แต่กว่าจะรวมตัวกันครบก็เกือบ 8 โมงครึ่ง เพราะพวกที่มาก่อนก็ไปกินข้าว ไม่ก็นั่งคุยนั่งเล่นกันอยู่ใต้ตึก (แหม ทีตอนตัวเองเป็นนักศึกษา สายทุเรศกว่านี้อีก สายแค่ครึ่งชั่วโมงนี่ก็มาตรฐานคนไทยแล้ว)
  3. ทำงานเร็วมาก งานใน field ที่ตอนแรกกะว่าต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง เอาเข้าจริงแค่ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จแล้ว แต่ทำไมงานในแล็บกลับล่อไปซะ 4-5 ชั่วโมง อันนี้ไม่เข้าใจจริงๆ
  4. รับผิดชอบต่องานดี ตอนบ่ายก็อยู่กันเกือบครบ มีสูญหายไปบ้างบางคน อันนี้เรื่องปกติ
สรุปว่า งานนี้เหนื่อย แต่ก็สนุกดี คำถาม-ตอบของนักศึกษา ป.ตรี ก็เล่นเอาอึ้งเหมือนกัน