31 March, 2010

เพื่อความปลอดภัยของคนไทย ต้องฆ่าทิ้ง



เก่งมากครับทหารไทย เก่งสุดๆ แล้วครับ

เอ้าพวกรักสันติไม่เอาความรุนแรงมาแสดงความเห็นกันหน่อย เร้ว
"เพื่อความปลอดภัยของคนไทย ต้องฆ่าทิ้ง"
นี่คือชายชาติทหารของแท้เลยครับ หาได้ที่นี่ที่เดียวในโลก
"ทหารไทยใจเท่ามด รบที่ไหนก็แพ้ เก่งแต่กับคนมือเปล่า"

30 March, 2010

ตอบบทความ "มุมมองคนไทยส่วนตัวผ่านสื่อออนไลน์"


เอาหละ ในเมื่อแสดงเจตน์จำนงว่าต้องการความคิดเห็น ผมก็ขออนุญาต (ไผ่เอ๋ย ทำใจก่อนอ่านนะ อ่านจบสงสัยมึงได้โกรธกูแน่)

คุณและอีกหลายคนคงจะทราบแล้วว่าผมเป็นหนึ่งในคนที่ได้ “เลือกข้าง” ไปแล้ว และผมยืดอกยอมรับด้วยว่าผมเลือกข้างเสื้อแดง (แต่ผมไม่กล้าแอบอ้างเป็นคนเสื้อแดง เนื่องจากยังไม่เคยไปร่วมชุมนุมเยี่ยงวีรชนกับพวกเขาเลยสักครั้ง)

พูดตามตรง ผมว่าตรรกะที่ผิดพลาดใหญ่หลวงของพวก “ตรงกลาง” “สีขาว” “สองไม่เอา” หรืออะไรก็แล้วแต่ (หมายถึงพวกที่ขออยู่ตรงกลางจริงๆ นะ ไม่นับพวกที่ “แอ๊บ” ขอเป็นกลางแบบเฉพาะกิจ) คือ การกำหนดกรอบของ “ความเป็นกลาง” ขึ้นมาล้อมรอบความคิดและการกระทำของตนเอง ไม่ว่าอะไรขอแทงกั๊กไว้ก่อน สุดท้ายกรอบเดียวกันนี้ก็กลายเป็นเชือกรัดคอตัวเองโดยไม่รู้ตัว

ลักษณะตัวอย่างเช่น บทความนี้เป็นต้น ผมพอจะจับประเด็นหลักของบทความได้ 3 ประเด็น

26 March, 2010

รัก "ประชาธิปไตย" ต้องก้าวพ้น "ทักษิณ" และ...ต้องปกป้อง "ทักษิณ"

คำว่า "ประชาธิปไตย" ใครเป็นคนพูด หรือ พูดกันกี่ที มันก็ฟังดูดีทั้งนั้น แต่ในบรรดาคนที่อ้างตัวว่า "รักประชาธิปไตย" หรือ "ทำเพื่อประชาธิปไตย" ทั้งหลาย มีสักกี่คนกันที่เข้าใจความหมายของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

แล้วประชาธิปไตยคืออะไรกันแน่? แล้วมันดีจริงอย่างที่พวกเราเรียกร้องกันหรือไม่?

16 March, 2010

นานาทรรศนะคนกรุงเทพฯ ต่อ "เสื้อแดง"

อภิสิทธิชน เวทนาชีวิต นายกรัฐมนตรีแห่งตอแหลแลนด์
จะหนึ่งคนหรือแสนคนออกมา รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบ ยุบสภาเถอะครับ ผมยอมเจ็บ....เอ๊ะ อะไรนะ ผมไม่ได้เป็นฝ่ายค้านแล้วเหรอ? งั้นเอาใหม่
ผมมาเป็นนายกฯถูกต้องตามระบอบรัฐสภา ผมต้องฟังเสียงจากทุกๆ ฝ่ายครับ (พล่ามๆ) เมื่อกี้ ถามว่าอะไรนะครับ?

นายกสมาคมพ่อเล้าแห่งตอแหลแลนด์
เสดหละกิดก็แย่นาสิ เสื้อแลงออกมาชุมนุงแบบนี้ ต้องหยุด เสดหละกิดจาได้เดินหน้า ลัดถะบานออกกฏหมายความมั่นคงดีแล้ว ผู้ลงทุนต่างชาติจาได้มั่งจาย

ลุงเสื้อชมพู-เจ้าพ่อหวยใต้ดิน
เสื้อแดงนี่วุ่นวายจริงๆ พวกบ้านนอกพวกนี้ถูกเหลี่ยมจ้างมาไม่ก็โดนหมอผีเขมรทำคุณไสยแน่ๆ ดูสิท่านสนธิลิ้มกับพันธมิตรฯ ยังหยุดเลย ที่พูดนี่ผมไม่ใช่พวกเสื้อเหลืองนะครับ อย่าเข้าใจผิด

นักวิชาเกิน ม. ทำไมหละสาด
ผมคิดว่าการที่เสื้อแดงออกมาครั้งนี้ไม่ค่อยจะถูกต้องเท่าไรนะครับ ประชาธิปไตยจะตัดสินที่เสียงข้างมากอย่างเดียวไม่ได้ เสื้อแดงต้องยอมรับสิครับว่ารัฐบาลนี้มาถูกต้องตามรัฐธรรมนู้บ ยุบสภาและเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบของประชาธิปไตย อย่าเชื่อตามฝรั่งเลยครับ บริบทของตอแหลแลนด์มันไม่เหมือนกันนะครับ

นักสันติวิธี (อาชีพที่กำลังได้รับความนิยมในตอแหลแลนด์ และหาได้ที่นี่ที่เดียว)
ทุกฝ่ายต้องหยุดและหันหน้าเข้ามาคุยกันสิคะ คนเทยเหมือนกัน คนเทยต้องสมานฉันท์สามัคคีกันค่ะ ถ้าเราสามัคคีกันก็จะได้ไปยึดเขาพระวิหารคืนมาได้ยังไงละคะ ดีใช่มั้ยหละคะ

นักศึกษา ม. สยามสแควร์
ม่ายรู้คะ หนูไม่สนใจเรื่องพวกนี้ค่ะ ปวดหัว ขอไปช็อปก่อนนะคะ


คนหาเช้ากินค่ำ, รากหญ้า, พนักงานออฟฟิศ, พ่อค้าแม่ค้าหน้าปากซอย, คนขับแท็กซี่, วินมอเตอร์ไซค์, เด็กปั๊ม, ข้าราชการ-ทหาร-ตำรวจชั้นผู้น้อย, ประชาชนคนธรรมดาผู้รักประชาธิปไตยและความยุติธรรม ฯลฯ
เสื้อแดง...สู้!

.....

บทสนทนานี้คิดขึ้นเล่นๆ นะครับ

ปิดท้ายด้วยคลิปการแสดงอารยะขัดขืนของคนกรุงเทพกับคนเสื้อแดง คลิปนี้ถ่ายขณะเสื้อแดงเคลื่อนขบวนผ่าน รพ. รามาธิบดี ถ. พระราม 6 วันที่ 15 เมษายน 2553


ขอบคุณเจ้าของคลิปมา ณ ที่นี้ด้วย

14 March, 2010

หยุด "ความมักง่าย" ในวันนี้ เพื่อเลี่ยงสงครามกลางเมืองในวันหน้า

ช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ (12-14 มีนาคม พ.ศ. 2553) เป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือที่รู้จักกันในหน้าสื่อว่า "เสื้อแดง" จุดประสงค์ในการชุมนุมครั้งนี้คือการล้มรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ซึ่ง (คนเสื้อแดงเชื่อว่า) ก้าวเข้ามาสู่อำนาจโดยขาดความชอบธรรมตามหลักการประชาธิปไตย

นี่เป็นภาพการเคลื่อนไหวของประชาชนที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ประเทศไทย เป็นการรวมตัวเรียกร้องทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คนนับแสนนับล้านจากทุกสารทิศทั่วประเทศเดินทางเข้ามาร่วมต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ของตนเอง อุดมการณ์ที่พวกเขาเชื่อว่าคือความถูกต้องและความยุติธรรม

นักวิชาการและคนที่เรียกตัวเองว่า "ปัญญาชน" หลายคนมองการเคลื่อนไหวของมวลชนในช่วงไม่กี่ปีมานี้อย่างดูถูกว่าเป็น "ความแตกแยก" "ความไม่สงบ" มวลชนคนเสื้อแดงถูกตีตราว่าเป็นพวก "รากหญ้า" เป็น "พวกคนจน" "ชนชั้นต่ำ" ที่รับเงินค่าจ้างมา (ออกค่ารถค่าเรือมาตากแดดตากฝนแถมเสี่ยงกับการโดนล้อมปราบ เพื่อเงินไม่กี่ร้อย?)

ผู้กุมอำนาจรัฐ, ชนชั้นสูง, ชนชั้นกลางในเมืองหลวง (บางคน) และสื่อกระแสหลักก็พยายามเหลือเกินที่จะยัดเยียดภาพให้เสื้อแดงเป็น "ฝูงชนนิยมความรุนแรง" เป็นพวกบ้านนอกเผาบ้านเผาเมืองที่เข้ามายึดกรุงเทพเป็นตัวประกัน (โดยนำภาพการยึดสนามบินของพันธมิตรฯ มาอ้างอิงซ้ำไปซ้ำมาราวกับคนสมองเสื่อม)

กรอบความคิดเช่นนี้ คือ "ความมักง่ายทางความคิด" เป็นการเชื่อตามวาทกรรมและภาพมายาฉาบฉวยที่ถูกสร้างขึ้นตามหน้าสื่อโดยขาดการพิจารณาไตร่ตรองตามหลักเหตุและผล ความมักง่ายนี้เคยถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือแล้วครั้งหนึ่งในช่วงปี 2516-2519 ครั้งนั้นสื่อสร้างภาพ "ฝักใฝ่คอมมิวนิสต์" "ล้มเจ้า" "หัวรุนแรง" ให้กับนักศึกษาผู้เรียกร้องประชาธิปไตย และสุดท้ายก็นำไปสู่ประวัติศาสตร์เลือดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ที่นักศึกษาถูกล้อมสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วยน้ำมือของคนที่คิดว่าตนเองทำถูกต้อง ทำเพราะความรักชาติ ทำเพื่อความจงรักภักดี

เวลาผ่านไปกว่าสามทศวรรษ สังคมไทยก็ได้เลือกที่จะ "ลืม" บทเรียนราคาแพงบทนี้ไป รัฐบาลและสื่อมวลชนไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะหยิบยก "ความมักง่ายทางความคิด" นี้กลับมาเป็นเครื่องมืออีกครั้ง บทเหมือนเดิม กล้องตัวเดิม ฉากเปลี่ยน ตัวละครเปลี่ยน

เมื่อไรเราจะจำ?

ผลลัพธ์ที่น่ากลัวที่สุดของละครบทนี้ คือ ฉากจบของมัน ครั้งนั้นนักศึกษาหลายพันคนต้องเลือกเข้าป่า จับปืนต่อสู้ เป็นสงครามยืดเยื้อ เลือดคนไทยด้วยกันทาทั่วผืนแผ่นดิน แล้วครั้งนี้หละ?

มวลชนนับแสนนับล้าน (หรืออาจจะถึงหลักสิบล้าน ถ้านับรวมคนที่ยังไม่ได้ร่วมแสดงพลังออกมา) จะถูกกวาดถูกผลักไปอยู่ใต้พรมที่ไหน ถ้าไม่ใช่ถูกบีบให้ต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่มีแม้กระทั่งชีวิตเพื่อแลกกับศรัทธาสูงสุด คนกลุ่มนี้คือคนกลุ่มเดียวกันที่ครั้งหนึ่งทำได้แค่ยืนมองดูภาพการมอบดอกไม้ให้ทหารในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 ด้วยน้ำตาอาบแก้ม คนที่ครั้งหนึ่งได้แค่ขบกรามกัดฟันในวันที่หนึ่งเสียงของพวกเขาถูกใช้เป็นแค่เครื่องมือต่อรองของนักการเมืองทรยศ และเมื่อพวกเขาออกมาตะโกนโห่ร้องขอความเป็นธรรมบ้างก็กลายเป็น "พวกโง่หลงผิดหัวรุนแรง" ให้ชาวกรุงผู้เลิศเลอศิวิไลซ์เหยียดหยามและเกลียดชัง ทำราวกับพวกเขาไม่ใช่คน ไม่ใช่เพื่อนร่วมชาติ

นี่แหละ ความรุนแรงทางความคิดที่จะนำไปสู่ปฏิกิริยาโต้ตอบอันได้แก่ความเคียดแค้นของผู้ถูกกระทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความแค้นของประชาชนในสภาวะการณ์แห่งความขัดแย้งเช่นนี้จะนำไปสู่สิ่งอื่นใดได้เล่า นอกจาก "สงครามกลางเมือง" และกลียุคที่จะตามมา ชนวนระเบิดแห่งความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นที่กดไว้มานานแสนนานจะประทุขึ้นมาดุจธารลาวาอันเกรี้ยวกราด เปลวเพลิงแห่งความกลัวและความอาฆาตก็จะเผาทุกอย่างให้ราบพณาสูร ภาพมายาจากความคิดมักง่ายก็จะออกดอกออกผลเป็นความจริงอันน่าสะพรึง

ณ วันนี้ วินาทีนี้ สังคมไทยยังเหลือทางเลี่ยงจากเส้นทางอันมืดมนนี้ เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมดั่งลูกโซ่และฟันเฟืองที่คล้องกันไว้ ดังนั้นเราไม่อาจหลีกเลี่ยงลอยตัวพ้นความรับผิดชอบต่อปัญหาความขัดแย้งนี้ได้เลย สิ่งที่ทุกคน ("ทุกคน" คือ ทุกคนรวมหมดไม่ว่าเสื้อแดง-เสื้อเหลือง-เสื้อขาว) ต้องทำในวันนี้ คือ
  1. เลิกมองภาพปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างฉาบฉวย หยุด "ความมักง่าย" ก่อนจะปักใจเชื่ออะไรสักอย่างต้องวิเคราะห์ตามหลักการและเหตุผล ศึกษาและทำความเข้าใจกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มผู้ชุมนุม "ทำไมพวกเขาต้องออกมา?" "สิ่งที่พวกเขาเรียกร้องถูกต้องตามแนวทางประชาธิปไตยหรือไม่?" 
  2. คนที่ออกมาชุมนุมไม่ใช่เป็นพวกรากหญ้าโง่ๆ ที่ถูกจ้างมา หรือ ทำแค่คนเพียงคนเดียว เลิกดูถูกคนชั้นล่างว่าเป็นพวกที่ไม่ควรมีสิทธิเท่าเทียมชนชั้นผู้ดี-ผู้มีการศึกษา หันมาเปิดใจมองทุกคนอย่างเท่าเทียม มีหนึ่งสิทธิและมีหนึ่งเสียงเท่ากันตามระบอบประชาธิปไตย
  3. เลิกหนีปัญหาโดยการดื้อรั้นกอด "ความเป็นกลาง" อย่างไม่ลืมหูลืมตา ต้องยอมรับว่า "สังคมมีปัญหาและเราเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา" และช่วยกันหาทางออกด้วยใจเป็นธรรม การพล่ามคำว่า "ผม/ดิฉัน เป็นกลาง" "รักสันติ" "สมานฉันท์สามัคคี" ไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น นอกจากปลอบประโลมใจผู้พูดไปวันๆ
    จะหยุดความมักง่ายวันนี้ หรือ จะปล่อยให้มันลุกลามเป็นสงครามกลางเมืองในวันหน้า ผม/ดิฉัน/คุณ/เราต้องเลือก พวกเราจะปล่อยปะละเลยเหมือนอย่างที่เคยทำมาไม่ได้แล้ว อย่ารอให้คนรุ่นหลังอ่านประวัติศาสตร์ของรุ่นเรา แล้วย้อนถามว่า "คนรุ่นพ่อรุ่นแม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?"