20 March, 2009

ดาวสภาคนใหม่


วิสารดี (ยิ้ม) เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เขต 2 จ.เชียงราย พรรคเพื่อไทย (ลงสมัครในพรรคพลังประชาชน)

วันเดือนปีเกิด 23 ธันวาคม 2524

ลูกสาวคนสวยเพียงคนเดียวของนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ สมาชิก บ้านเลขที่ 111

ในที่สุดผมก็หาข้อดีของการยุบพรรคเจอแล้ว เพชรน้ำงามหน้าใหม่ได้เกิดหลายคนเลยทีเดียว งามจริงๆนะคนนี้หน่ะ

ศึกอภิปรายฯคราวนี้ พรรคเพื่อไทยรับกำไรเต็มๆ นอกจากจะได้ทั้งกระซวกลากไส้แถมหลอกด่ารัฐบาลไปหลายดอกแล้ว ยังได้โบนัสโกยคะแนนสงสารแบบเรียกได้ว่าเก็บกันแทบไม่ทัน

จากภาพของพรรคผู้ดี มาดหล่อ กลายมาเป็นพรรคนางร้ายปากตลาดไปในฉับพลัน ส่วนเพื่อไทยที่โดนกลั่นแกล้งรังแกมาตลอดก็รับบทนางเอกไปฟรีๆ

ประชาธิปัตย์คงกะฝังกลบ "หลุม" หน้าใหม่หลุมนี้เต็มที่อยู่แล้ว ส.ส.สมัยแรกอายุ 27 หมาดๆ ประสบการณ์ไม่มี อภิปรายไม่ทันจบก็โดนเล่นงานแบบ 4 รุม 1 ด้วยข้อหา "อธิบายประกอบลีลา" ทับซ้ำด้วย "อ่านโพย ไม่ใช้สมอง" แรงกันจนซะฝ่ายเพื่อไทยทนไม่ได้รีบออกมาปกป้องน้องเล็ก ยกคำศักดิ์สิทธิ์ "ศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง" มาเป็นเกราะกำบัง เล่นเอาผู้ชมฮาร์ดคอร์เกาะหน้าจอลุ้นอยากเห็นฉากตบเต็มที่ แม้แต่ประธานสภายังเครียดจนหน้าแดง

ใครจะเชื่อ ส.ส.สาวกลับมามาดนิ่ง หยุดอภิปรายมันซะดื้อๆ พี่ๆป้าๆพรรคประชาธิปัตย์ถึงกับอึ้ง กว่าจะรู้ตัว นี่มันไม่ใช่หลุมธรรมดานี่หว่า "กับดัก" ชัดๆ จะชักเท้ากลับก็สายไปเสียแล้ว ช่วงพักเทพเทือกคงเรียก ส.ส.หญิงลูกพรรคไปอบรมชุดใหญ่แน่นอน "พวกแกจะไปชงให้อีนังหนูนี่ทำไม? โดนเล่นซะชาทั้งพรรค"

งานนี้น่าเห็นใจที่สุดคงเป็นเฉลิม อยู่บำรุง ก็พี่แกเล่นหมายมั่นปั้นมือจะเป็นดาวสภา ส้มกลับไปหล่นที่ลูกพรรคตัวเองซะงั้น งานนี้คงไม่มีเคืองกันนะครับ

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์เจ็บตัวคราวนี้ คงจะจำชื่อ ส.ส.เชียงรายหน้าสวยคนนี้ไปอีกนาน "วิสารดี เตชะธีราวัฒน์"

13 March, 2009

ปาฐกถา ดร.ทักษิณ ชิณวัตร ที่ฮ่องกง

วันพฤหัสบดีที่ 12 มีนาคม 2009
ปาฐกถา ดร.ทักษิณ ชิณวัตร ที่ฮ่องกง

วิกฤตเศรษฐกิจโลก : ทำไมจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่วิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตทางปัญญา
โดย ดร.ทักษิณ ชิณวัตร

ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ฮ่องกง

12 มีนาคม 2552


ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้สถาบันการเงินล่มสลายจนได้ลุกลามกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลกครั้งนี้เกิดขึ้นจากนักการเงินใช้จ่ายเงินเกินตัวอย่างไร้เหตุผล การกำกับดูแลตรวจสอบสถาบันการเงินที่ไร้ประสิทธิภาพ และถ้าเราเชื่ออีกว่า การโยกย้ายผ่องถ่ายเงินไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วเป็นต้นเหตุสำคัญของวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ผมคิดว่าเรากำลังจะพลาดประเด็นที่สำคัญของปัญหาไปอย่างน่าเสียดาย

เราทราบกันดีว่าต้นเหตุของวิกฤตครั้งนี้เกิดขึ้นชัดเจนตั้งแต่ปี 1997 โดยการโจมตีค่าเงินบาท และลุกลามกลายเป็น “วิกฤตการเงินของเอเชีย” ทุกประเทศในเอเชียยกเว้นเกาหลีเหนือได้ดำเนินนโยบายตาม “ฉันทามติแห่งวอชิงตัน” (Washington’s Mantra) ซึ่งแต่ละประเทศประสบความสำเร็จมากบ้างน้อยบ้างแตกต่างกันไป แต่ดูเหมือนว่าประเทศที่เดินตาม “ฉันทามติแห่งวอชิงตัน” อย่างเคร่งครัดในครั้งนั้นจะกลับกลายเป็นประเทศที่ได้ผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตการเงินรอบใหม่ในครั้งนี้

“ฉันทามติแห่งวอชิงตัน” ที่ทุกประเทศท่องจำจนขึ้นใจ คือ คำว่า “ตลาดเสรี” (Free Markets) ตลาดที่เป็นอิสระจากการกำกับควบคุมดูแล และจะนำไปสู่ความมั่งคั่งอย่างไม่มีขีดจำกัดสำหรับคนทุกหมู่เหล่า

ผมเติบโตมาในประเทศที่ได้รับประโยชน์มหาศาลจากการยอมรับนโยบายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ยุคสงครามอินโดจีน ชนชั้นปกครองเชื่อว่า ประเทศจะประสบความสำเร็จและก้าวหน้าด้วยการเปิดประเทศ ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับใครก็ตามที่ต้องการทำธุรกิจกับเรา โดยเฉพาะเมื่อมีข้อเสนอดีๆจาก 2 ประเทศมหาอำนาจ คือ สหรัฐอเมริกา และ ญี่ปุ่น ที่เวลานั้นเป็นหัวขบวนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

แนวความคิดจากต่างประเทศได้รับการยอมรับและนำไปปฏิบัติด้วยดี โดยไม่มีการตั้งคำถามว่า เราจะถูกกลืนเข้าไปในวังวนห่วงโซ่อุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการหรือไม่ อย่างไร รวมทั้งระบบการเงินที่เราไม่สามารถตีตัวออกห่างได้ แม้ในยามที่เราประสบกับวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุด เราไม่สามารถมีปากเสียงที่จะไปต่อกรว่า ความเชื่อมโยงต่างๆเหล่านี้ถูกบงการมาอย่างไร เราต้องปล่อยไปตามกระแส หรือไม่เช่นนั้น ก็ต้องถูกตราหน้าว่าเป็นพวกชาตินิยมและจะไม่สามารถแข่งขันกับใครได้ การพัฒนาทักษะจากจุดแข็งที่มีอยู่ของคนในประเทศถูกกล่าวหาว่าเป็นสิ่งเชื่องช้าล้าหลัง

การหมุนเวียนของเงินและความหลากหลายของตราสารทางการเงินที่ถูกสร้างขึ้นจากศูนย์กลางการเงินต่างๆของโลกนั้นเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณวันต่อวัน ความรุ่งเรืองและความถดถอยเป็นวัฏจักรของธรรมชาติ แต่จะเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก ถ้าเกษตรกรและคนงานในโรงงานอุตสาหกรรมของเราต้องเดือดร้อนโดยได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากปัญหาภายในประเทศ แต่วิกฤตกลับเกิดเพราะรัฐบาลในขณะนั้นไม่มีความรู้ รู้ไม่เท่าทันการไหลเวียนของตราสารทางการเงินในตลาดต่างประเทศที่อยู่ห่างไกลจากอีกซีกโลกหนึ่ง

วิกฤตเศรษฐกิจในปี 1997 ทำให้เราต้องกลับมาเริ่มต้นคิดใหม่ว่า เราจะสามารถก่อร่างสร้างตัวได้อย่างไรในแนวทางที่มีเหตุมีผล ซึ่งจะทำให้เราสามารถควบคุมเศรษฐกิจให้ดำเนินไปในแบบอย่างที่เราอยากจะให้เป็นได้มากขึ้น ผลของการคิดอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบถูกร่างเป็นนโยบายของพรรคการเมืองที่ผมก่อตั้งขึ้นด้วยแนวความคิดหลักที่ต้องการให้คนไทยทั่วทั้งประเทศทุกพื้นที่นำจุดเด่น จุดได้เปรียบ ของตนเองมาผลิตสินค้าและบริการออกไปขาย และแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพได้ในตลาดโลก ทั้งยังเสนอวิธีการช่วยเหลือและพัฒนาความได้เปรียบเหล่านั้นให้มีประสิทธิภาพอย่างเป็นรูปธรรม

แนวความคิดนี้ไม่เชื่อเรื่องการปิดประเทศ การปิดประเทศอาจเป็นไปได้ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ แต่เราเลือกที่จะไม่ถอนตัวจากเศรษฐกิจโลก แต่จะทำให้ประเทศไทยดีขึ้น และเป็นประเทศที่น่าอยู่สำหรับทุกคน ผมมีความยินดีที่จะรายงานว่า หลายนโยบายที่ผมได้พัฒนาไว้ รัฐบาลต่อๆมาของไทยเห็นด้วยและนำมาใช้บริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง แม้บางครั้งจะถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็นอย่างอื่น แต่สาระสำคัญของนโยบายยังคงอยู่เหมือนเดิม


ครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นเพียงวิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตทางปัญญาของโลก นาย โทนี่ แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ให้ความเห็นว่า ถ้าคุณไปถาม ผู้เชี่ยวชาญว่า จะแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้อย่างไร คำตอบที่คุณจะได้รับ น่าจะเป็นคำตอบว่า “ผมจนปัญญาจริง ๆ ครับ”

วิกฤติครั้งนี้เป็นวิกฤตทางปัญญาของโลก (Intellectual Crisis) ซึ่งเป็นผลจากการปฏิเสธที่จะเผชิญหน้ากับความเป็นจริง และที่สำคัญที่สุดปฏิเสธที่จะคิดแก้ปัญหาจากภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Economy)

ความสำเร็จของอเมริกาและญี่ปุ่นเกิดขึ้นจากการที่ประเทศทั้งสองเรียนรู้ความก้าวหน้าจากการปฏิวัติ อุตสาหกรรมในยุโรป รวมทั้งการพัฒนาทักษะความสามารถในการผลิตสินค้าจำนวนมาก (Mass Production) เพื่อตอบสนองความต้องการของโลก นวัตกรรมใหม่ถูกคิดค้นด้วยมันสมองและแรงงานที่มีคุณภาพ แต่ในปัจจุบัน กลับไม่เป็นเช่นนั้น นักศึกษาที่ฉลาดที่สุด เก่งที่สุด ดีที่สุด เมื่อจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และ ญี่ปุ่น ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา กลับหลั่งไหลไปทำงานในธุรกิจบริการด้านการเงินการธนาคาร ดังนั้นความคิดสร้างสรรค์ใหม่จึงถูกจำกัดอยู่เพียงแค่การออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงลิบลิ่วเท่านั้น และถ้าหากว่ามีใครกล้าตั้งคำถามว่า ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นจะมีความยั่งยืนมั่นคงเพียงใด คนแหล่านั้นก็อาจจะถูกโจมตีได้ว่า เป็นพวกมีความคิดล้าหลังและเป็นพวกต่อต้านความเจริญก้าวหน้าของโลกยุคโลกาภิวัฒน์


วันนี้ไม่มีใครสามารถหมุนเวลาย้อนกลับ และถอนตัวจากเศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ได้ สิ่งที่เศรษฐกิจยุคโลกาภิวัตน์ต้องการ คือ การถูกกำกับดูแลระดับโลก (Globalized Regulation) ซึ่งยังไม่มีประเทศใดกล้าที่จะพูดถึง เพราะการทำเช่นนั้น หมายถึงการท้าทายความเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกของสหรัฐอเมริกา คู่ค้าที่สำคัญอย่างประเทศจีน มีประสบการณ์มากมายในอดีต น่าจะมีบทบาทสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาในขณะนี้ได้ แต่ก็ยังไม่กล้าทำเช่นนั้น เพราะด้วยเหตุผลทางการเมืองที่ไม่ต้องการแสดงให้เห็นว่า จีนอยากแข่งขัน และเป็นผู้นำของโลกแทนสหรัฐอเมริกา จีนต้องการคงบทบาทเป็นแค่เพียงผู้สนับสนุนที่ดีเท่านั้น

ขณะที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปกำลังหาทางแก้ปัญหาวิกฤตทางปัญญาอยู่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ กำลังหาทางที่จะผลิตสินค้าและบริการอะไรสักอย่างที่ดีกว่า การสร้างตราสารทางการเงิน และเป็นความต้องการของตลาดโลกชิ้นใหม่ที่สำคัญ ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่จีนและอินเดียไม่สามารถผลิตได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า


อะไรคือหนทางรอดของประเทศเล็กๆที่เหลืออยู่ในภูมิภาคเอเชีย ?

เราต้องสร้างความสามารถในการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพให้ได้ ด้วยทรัพยากรที่เรามีอยู่ ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าใครทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ คนของเราได้รับการศึกษาที่ดีกว่าในอดีตมาก ประกอบกับคนงานของเราไม่ได้มีความมั่นคงในหน้าที่การงานเหมือนกับที่ชาวอเมริกันในอุตสาหกรรมรถยนต์และเหล็กได้รับมายาวนาน ดังนั้นเราจึงสามารถฝึกอบรมคนงานของเราใหม่ได้ไม่ยาก โดยไม่ต้องกลัวกับการต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับผู้จัดการทั้งหลาย ที่หมดไฟในการทำงานและขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ

อุตสาหกรรม การเกษตรของเราก็ก้าวมาถึงขั้นที่สามารถปรับปรุงคุณภาพและความหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างๆที่มีอยู่มากมายทั่วโลก อุตสาหกรรมระดับหมู่บ้านก็สามารถปรับให้อยู่ในรูปของอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดเล็กคล้ายกับของประเทศอิตาลีที่สามารถเอาตัวรอดได้ในยามวิกฤตมานับครั้งไม่ถ้วน ระบบเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ (Creative Economy) ไม่จำเป็นที่จะต้องถูกผูกขาดเฉพาะชาวยุโรปเท่านั้น ระบบเศรษฐกิจบนพื้นฐานความคิดสร้างสรรค์ และจะต้องถูกพัฒนาอย่างจริงจัง จะเป็นทางออกที่สำคัญของประเทศในอนาคต จะเป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ จะทำให้เกิดการสร้างงานที่มั่นคงและสังคมที่แข็งแรงในอนาคต


ทั้งหมด ที่ผมได้กล่าวมานี้ จำเป็นจะต้องได้รับความช่วยเหลือด้านการพัฒนาอย่างมีเป้าหมายซึ่งสามารถทำได้ ทุนสำรองระหว่างประเทศไม่ใช่สิ่งที่ไม่สำคัญแต่คงไม่มีประเทศใดใช้ทุนสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ทั้งหมดไปกับการแก้ไขปัญหาของประเทศ เพราะกลัวว่าประเทศจะประสบกับภาวะวิกฤตทางการเงิน ด้วยเหตุนี้เองที่แนวทางในการพัฒนาตลาด “พันธบัตรเอเชีย” (Asia Bonds) ที่ผมเป็นผู้ริเริ่มจึงมีบทบาทสำคัญ หากจีนและญี่ปุ่นยอมรับที่จะเป็นผู้นำในการนี้ ประกอบกับความร่วมมือของประเทศอื่นๆที่มีทุนสำรองส่วนเกิน เราจะมีแหล่งเงินทุนสำหรับใช้พัฒนาเศรษฐกิจของเราในอนาคตได้อย่างมั่นใจ

ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าประเทศในเอเชียและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆในโลกจะอยู่ได้อย่างมั่นคงโดยไม่คำนึงถึงประเด็นเกี่ยวกับธรรมาภิบาล ซึ่งขณะเดียวกันเรายังต้องรักษาและยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ดังการศึกษาของ “อมาตยา เซน” (Amartya Sen) ที่แสดงให้เห็นว่า “ระบอบประชาธิปไตย เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยป้องกันปัญหาความอดอยาก” มีแต่การพัฒนาที่สมดุลที่คนจนและคนด้อยโอกาสไม่ถูกละเลยเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งเสถียรภาพในระยะยาว

เราจำเป็นต้องเรียนรู้ความสำเร็จของพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ใช้นโยบายยืดหยุ่นและละเอียดอ่อนในการปกครองประชาชนและการบริหารประเทศจนประสบความสำเร็จอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทำให้จีนกลายเป็นโรงงานของโลก ผลิตสินค้า ทำรายได้ และที่สำคัญมีเงินออมมากมายเพียงพอที่จะอุดหนุนการใช้จ่ายการบริโภคของประชาชนในประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้

จากวิกฤตครั้งนี้ ถึงเวลาแล้วที่จีนจะต้องใช้เงินออมที่มีอยู่เป็นแหล่งทุนสำหรับการสร้างโอกาส สร้างความมั่งคั่ง ให้กับประชาชนของตน ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคม ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ทั่วทั้งประเทศทัดเทียมและดียิ่งขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะการทำเช่นนี้นอกจากจะช่วยลดแรงกดดันทางสังคมและการเมืองที่มีต่อพรรคคอมมิวนิสต์แล้ว ยังช่วยลดแรงกดดันจากสหรัฐอเมริกาได้อีกด้วย

เรา ต่างรู้ดีว่าปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้...ร้ายแรงกว่าที่หลายคนคิดไว้มาก จนในที่สุดรัฐบาลอาจหนีไม่พ้น จำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่กำลังล่มสลาย แต่รัฐบาลของเราต้องให้ความช่วยเหลืออย่างมีความซื่อสัตย์ทางปัญญา กล้าปฏิเสธความไม่ถูกต้อง หากจำเป็นต้องเข้าไปรับผิดชอบความเสียหายของธุรกิจใดๆก็ตาม ต้องทำอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม รัฐบาลต้องกล้าที่จะประกาศว่า เงินภาษีของประชาชนที่รัฐบาลจะนำไปให้ความช่วยเหลือนั้นจะต้องไม่ถูกนำไปจ่ายเป็นค่าโบนัสให้กับบรรดาผู้บริหารทั้งหลายที่สร้างความเสียหายให้กับ ธุรกิจนั้น


ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกจะไม่มีทางแก้ไขได้ ถ้านักเศรษฐศาสตร์ยังคิดว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินไปข้างหน้า ต้องพึ่งพาพลังเศรษฐกิจขนาดใหญ่เท่านั้น ถึงวันนี้เราต้องยอมรับความจริงว่า ความสามารถในการชำระหนี้ต่างหากคือกุญแจสำคัญไม่ใช่เรื่องของขนาดเท่านั้น “ขนาด” จะมีบทบาทช่วยได้ ตราบเท่าที่ “ขนาด” และความสามารถในการชำระหนี้เดินหน้าไปพร้อมๆกัน

ธุรกิจจะเติบโตได้ตราบเท่าที่มีความสามารถในการชำระหนี้ ความสามารถในการชำระหนี้ย่อมเกิดจากความสามารถในการสร้างรายได้สุทธิ (Net Income) เงินออมจะมีประสิทธิภาพได้ ก็ต่อเมื่อเงินออมนั้นมาจากรายได้สุทธิเช่นกัน

สมมติว่าเราสามารถคลี่คลายวิกฤตสถาบันการเงินของโลกได้แล้ว ธนาคารกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง เพราะได้รับการชดเชยและสนับสนุนจากรัฐบาล ธนาคารเหล่านั้นจะทำธุรกิจอะไร พวกเขาจะให้ใครกู้เงิน และจะให้เงินกู้เพื่อทำธุรกิจแบบเดิมๆอีก...อย่างนั้นหรือ

วันนี้ท่าเรือสำคัญของโลกเต็มไปด้วยตู้คอนเทนเนอร์ที่อัดแน่นด้วยสินค้าที่ผลิตแบบเดียวกัน เหมือนกัน จำนวนมากมายมหาศาล เราจะผลิตสินค้าแบบนั้นเพิ่มขึ้น.....อีกหรือ คนงานจีนจะยังเดินหน้าผลิตรถยนต์เหมือนกับที่คนงานอเมริกันคงผลิตและขายไม่ออก....อีกหรือ

เราต้องยอมรับว่าสินค้ากำลังล้นตลาด การผลิตสินค้าแบบอุตสาหกรรม (Mass Production) มีขีดจำกัด เราจึงจำเป็นต้องสนับสนุนการสร้างรายได้แบบใหม่ด้วยการผลิตสินค้าและบริการ ที่อาศัยความได้เปรียบจากสินทรัพย์วัฒนธรรม ภูมิปัญญาแห่งชนชาติ และการผลิตด้วยทักษะแรงงาน ที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ อย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมทั้งสนับสนุนการสร้างตลาดที่จะแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างท้องถิ่นที่คึกคักและมีชีวิตชีวา


วันนี้...จึงเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องพยายามค้นหาสินค้าและบริการเหล่านั้นให้พบ รวมทั้งให้การสนับสนุนด้านเงินทุนในทุกวิถีทาง เพื่อทำให้ธุรกิจเหล่านี้อยู่รอด เราจึงจะสามารถสร้างระบบเศรษฐกิจที่มั่นคงและสังคมที่แข็งแรงได้ในระยะยาว

ผมเชื่อว่า อเมริกามีพลังของภูมิปัญญาในหลากหลายแขนง ซึ่งสามารถสร้างสรรค์สินค้าและบริการอย่างมีคุณภาพสูง โดยไม่จำเป็นต้องแข่งขันด้านราคากับใคร โลกกำลังต้องการพลังงานทดแทนที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนต่ำอย่างพลังงานนแสงอาทิตย์ โลกกำลังต้องการเทคโนโลยีและบริการที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งแวดล้อม

อเมริกามีผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และสามารถสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการของโลกยุคใหม่นี้อย่างไม่ยากเย็น เมื่อสหรัฐอเมริกาเริ่มที่จะใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆเหล่านี้ ก็จะเป็นการบังคับให้ประเทศต่างๆในเอเชียรวมทั้งประเทศอื่นๆในโลก ต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตสินค้าและบริการ

สติปัญญา ของชาวอเมริกัน สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ ให้เกิดขึ้นมาได้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อชาวอเมริกันเอง รวมทั้งต่อประเทศอื่นๆ ในโลก เพียงแต่ชาวอเมริกันต้องยอมรับว่า “โลกในอนาคตจะต้องไม่ถูกกำหนดจากวอลสตรีท ที่สำคัญสินค้าและบริการต้องมีความสัมพันธ์กับการจ้างงาน รวมทั้งให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และนำมาซึ่งรายได้สุทธิ (Net Income) ที่คุ้มค่ากับความตั้งใจที่ใส่ลงไป”


การสร้าง เศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Economy) มีความสำคัญอย่างยิ่ง การค้าตราสารทางการเงิน (Paper Trading) จะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสมเท่านั้น

หากบรรดาผู้นำทางปัญญาในสหรัฐอเมริกา ยอมรับแนวคิดนี้ได้เร็วเท่าใด ผลดีที่จะเกิดขึ้นต่อเราทุกคนในโลกก็จะมีมากขึ้น...เท่านั้น

http://thaienews.blogspot.com/2009/03/dr-thaksin-shinawatra-address-to.html