27 February, 2010

แถลงการณ์สมัชชาสังคมก้าวหน้าต่อกรณียึดทรัพย์ นายกฯ ทักษิณ

แถลงการณ์สมัชชาสังคมก้าวหน้า : ประณามการยอมรับผลของการรัฐประหารในทุก ๆ รูปแบบ

หลังรัฐประหาร ๑๙ กันยา ๔๙ คณะรัฐประหารได้ล้มล้างรัฐธรรมนูญ และพยายามกำจัดฝ่ายรัฐบาลเดิมซึ่งเป็นรัฐบาลที่มาจากกระบวนการเลือกตั้งที่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างบ้าคลั่งเอาเป็นเอาตาย โดยไม่ละอายใจในการระเบิด "ความร่านทางการเมือง" โดยมิชอบด้วยกฎหมายที่พวกตนก่อเลย

ยิ่งไปกว่านั้น คณะรัฐประหารได้ใช้วิธีการอัน "เนียนทราม" จัดตั้ง "กระบวนการยุติธรรมแบบยัดไส้""คตส"



ซึ่งคณะรัฐประหารทราบดีว่า การตั้งฝ่ายปฏิปักษ์ดำรงตำแหน่งดังกล่าวขัดต่อคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งตาม มาตรา ๒๙ และ ๔๖ แห่ง พรบ.ประกอบฯ ว่าด้วย ปปช. พ.ศ.๒๕๔๒ และอีกหลายฉบับ ฉะนั้น ประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐ ข้อ ๒ วรรค ๒ จึงกำหนดว่า "มิให้นำกฎหมายนั้นมาบังคับแก่การได้รับแต่งตั้งและการปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการตรวจสอบ" นอกจากนี้ ประกาศฉบับดังกล่าวยังได้ขยายอำนาจหน้าที่ คตส.ให้กว้างมหาศาล (ตามข้อ ๕ วรรค ๓ (๑) - (๓) และ วรรค๔) ผิดจากกรอบอำนาจภายใต้ชื่อ "คตส" ตามรัฐธรรมนูญ ๔๐ และด้านการจัดเนื้อหาภายใน ปปช. (ประกาศ คปค. ฉบับที่ ๑๙) ก็มีความสกปรกลักษณะเดียวกัน

ทั้งนี้ ยังไม่ต้องพิจารณาถึงการดำรงตำแหน่งซ้ำซ้อนกันของบุคคลคนเดียวกัน ใน ๒ องค์กรที่มีลักษณะต้องถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ซึ่งสะท้อนความสำส่อนในกระบวนการยุติธรรมของผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลาย เมื่อ "หาพยานหลักฐาน" แล้วเสร็จ คตส.ต้องส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณายื่น/ไม่ยื่น คำร้องต่อศาล ตามกระบวนการยุติธรรมปกติ แต่มีข้อยกเว้นบางกรณี (ประกาศ คปค. ฉบับ๓๐ ข้อ๙ วรรค๑)

ที่น่าสนใจก็คือ อำนาจ หน้าที่ของอัยการสูงสุดตามกระบวนการปกติเป็นเช่นไร ???

การส่งเรื่องของ คตส. ไปยังอัยการสูงสุด เพียงเพื่อให้อัยการสูงสุดพิจารณาความสมบูรณ์ของพยานหลักฐานว่าครบถ้วนแล้วหรือไม่ และหากไม่ครบถ้วนอย่างไร อัยการสูงสุดมีหน้าที่ "ระบุรายงาน" ในแก่ คตส. เพื่อแก้ไขให้ครบถ้วนต่อไป (มาตรา ๘๐ วรรค ๒ พรบ.ประกอบฯ ว่าด้วย ปปช.) และถ้า คตส. ยืนยันความเห็นเดิม ก็ให้ คตส. มีอำนาจดำเนินการยื่นคำร้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ เองได้ (ประกาศ คปค.ฉบับที่๓๐ ข้อ ๙ วรรค๑)


จะเห็นได้ว่า อัยการสูงสุดซึ่งมิได้ถูกคณะรัฐประหารแต่งตั้งนั้น ไม่ได้ "มีส่วน" ในการค้นหาความจริงในพยานหลักฐานแต่ประการใด หากแต่พิจารณาความ "สมบูรณ์ครบถ้วน" ของพยานหลักฐานในการฟ้องคดีตามที่ คตส.มุ่งหมายเท่านั้น และเป็นอำนาจยับยั้งที่ไม่เด็ดขาด นั่นหมายความว่า กระบวนการ "ผ่านอัยการสูงสุด"ก็มิได้ทำให้พยานหลักฐานมีความบริสุทธิ์ขึ้นมาแต่ประการใด

บนฐานของ "ความปฏิปักษ์" ในการค้นหา-ไต่สวน ให้ได้ "พยานหลักฐาน" ในการฟ้องคดีทุจริตของรัฐบาลที่ถูกรัฐประหารโค่นไปนั้น "พยานหลักฐานโดยอคติ" นี้ ก็ถูกส่งผ่านไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ และการพิจารณาพิพากษาก็เป็นการพิจารณาไปตามพยานหลักฐานจริงๆเท็จๆ จาก องค์กรปฏิปักษ์ต่อจำเลยเหล่านั้น

นับว่าน่าเจ็บใจที่องค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการแทนปวงชน (แทบทุกครั้งในประวัติศาสตร์) กลับเพิกเฉยสยบยอมต่อกระบวนการจัดตั้งองค์กรต่างๆ อันส่งผลโดยตรงต่อรูปคดี โดยวิธีโดยการล้มล้างรัฐธรรมนูญ (เช่น กรณีสวรรคต ) และขัดต่อ กระบวนการอันเป็นธรรมตามกฎหมาย (due process ; state-under-law ) ซึ่งเป็นสารัตถะของหลักนิติรัฐโดยแท้

ซึ่งในรัฐสมัยใหม่ due process ถือเป็นหัวใจของระบบกฎหมายในการประกันความมั่นคงทางนิติฐานะของประชาชน ไม่ให้ถูกรัฐใช้อำนาจตามอำเภอใจ มิฉะนั้น ก็นับเป็นการพังทลายความมั่นคงของระบบกฎหมายของรัฐนั้นโดยสิ้นเชิง จริงอยู่ ที่การทุจริตคอรัปชั่นเป็นการ "ละเมิดกฎหมาย" แต่หากเทียบความร้ายแรง "รัฐประหาร" คือ การทำลายทั้งระบบกฎหมาย (throw out ; ยกเลิกมันทิ้งไปเลย) องค์กรตุลาการ พึงยึดมั่นในหลักการสากลว่า การจับใครมาขึ้นศาล หรือได้พยานหลักฐานมาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ก็เป็นการดำเนินคดีมิได้ ตามหลักการรักษาสมดุลระหว่าง crime control model กับ due process model

"กลไกต่างๆ"ที่ถูกสถาปนา โดย/ ระหว่าง การรัฐประหาร ย่อมไม่ใช่ Due Process เพราะ เป็นการล้มล้างระบบกฎหมาย และคดียึดทรัพย์นี้ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า มันเป็น "ส่วนหนึ่งในกระบวนการ และ ผลิตผลของการรัฐประหาร" ซึ่งไม่สามารถยอมรับได้เลยทั้งในแง่กฎหมายและแง่การเมือง ในบ้านเมืองที่เป็น นิติรัฐ



ที่ผ่านๆมา ศาลไทยยอมรับ "การอยู่ร่วมกันเยี่ยงสัตว์"(Might is Right ; Law of the jungle)โดยไม่พยายามแสดงความรับผิดชอบต่อ "ปวงชน" ทั้งๆที่ "องค์กรตุลาการ" ได้ใช้ อำนาจอธิปไตยแทนปวงชน จริงอยู่ที่เป็นได้ว่า "เมื่อเสียงปืนดังขึ้น กฎหมายก็ย่อมเงียบเสียงลง"(Inter arma Silent leges) แต่กระนั้น เมื่อเสียงปืนสงบเงียบลงไปแล้ว กฎหมายหรือความยุติธรรมจะมีเสียงขึ้นมาบ้างไม่ได้หรือกระไร !!


กลุ่มสมัชชาสังคมก้าวหน้า จึงขอประณามการยอมรับ "ผลของการรัฐประหารในทุก ๆ รูปแบบ"คำพิพากษาที่ไร้การพิพากษา ย่อมไม่อาจยอมรับได้ สามัญชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่านโดยปฏิเสธการดำรงอยู่ของคำพิพากษาที่เป็นปฏิปักษ์ต่ออำนาจอธิปไตยจากปวงชน พลังของคำพิพากษาย่อมสิ้นไป หากมหาชน "กระหน่ำต่อต้านมัน!" 
ตามประกาศ คปค.ฉบับที่๓๐ โดยเลือกเฟ้นฝ่ายปฏิปักษ์รัฐบาลเดิมให้เป็นกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในนาม และ ขอประกาศว่า "


จาก Thai E-News

http://thaienews.blogspot.com/2010/02/blog-post_9216.html


เผยแพร่ในเว็บบอร์ดคนเหมือนกัน http://weareallhuman.net/index.php?showtopic=43109




ขอไว้อาลัยกับความยุติธรรมในการปิดประเทศปล้นครั้งนี้ ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทุกคนจะจดจำไปอีกนานแสนนาน


ไม่มีวันลืม ไม่ให้อภัย!

No comments:

Post a Comment