20 May, 2010

นิทานไม่มีชื่อของคนไม่มีเส้น

เชื่อว่าวันนี้คนไทยทุกคนคงจะเป็นกังวลและเครียดกับสถานการณ์การเมืองที่อยู่เบื้องหน้า หลังจากที่ผม akedemo หายหน้าหายตาไปนานจนหลายท่านเป็นห่วงว่าเป็นอะไรไปหรือเปล่า (บางท่านก็ห่วงว่ามันจะไม่โดนอะไรสักหน่อยหรือ ไม่น่ารอดกลับมาเลย) ตอนนี้ผมยังสบายดีครับ อย่างน้อยก็ยังไม่ตาย เพื่อไม่ให้ผู้อ่านบล็อกนี้เครียดจนเกินไป ผมขอเล่านิทานเรื่องหนึ่ง อ่านนิทานของผมจบแล้วจะเครียดน้อยลงหรือเครียดมากขึ้นก็แล้วแต่สามัญสำนึกของท่านเอง

นิทานของผมมีเนื้อเรื่องดังนี้


กาลครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ (ใช่ครับ ไม่นานมานี้) บนแผ่นดินธรรมเมืองทอง มีชายชาวนาผู้หนึ่งอาศัยอยู่กับแม่ อาศัยปลูกข้าวทำนาเลี้ยงชีพ ชายคนนี้เป็นคนขยันขันแข็ง ไม่เคยเบียดเบียนทำร้ายผู้ใด มีชีวิตเรียบง่ายตามประสาชาวนาผู้สัตย์ซื่อ

แต่ชะตาฟ้าก็เล่นตลก อยู่มาคืนหนึ่ง (ตรงกับคืนแรมสิบสองค่ำ เดือนสิบ ตามท้องเรื่อง) มีโจรร้ายใจโฉดชั่วคาดผ้าสีดำปกปิดใบหน้าถือปืนบุกเข้ามาในบ้านของชายชาวนา เอาปืนจี้ชายชาวนากับแม่ผู้น่าสงสาร จับทั้งคู่มัดไว้แน่นหนาด้วยเชือกที่ค้นได้จากบ้านของชาวนาเอง สองแม่ลูกทำอะไรไม่ได้นอกจากอ้อนวอนร้องขอชีวิต ช่างน่าสงสารเวทนายิ่งนัก โจรชั่วนั้นไม่เพียงไม่สนใจ หลังจากกวาดทรัพย์ (ซึ่งแทบจะไม่ต่างอะไรจากการรีดเลือดเอากับปู) ไปจนสิ้นแล้วก็ข่มขืนแม่ของชายชาวนาต่อหน้าชายชาวนาตรงนั้น ชายชาวนาทำอะไรไม่ได้นอกจากเพียงทนกล้ำกลืนน้ำตาขมขื่นบาดทรวง

จนถึงเกือบรุ่งสาง เมื่อทำระยำจนหนำใจแล้ว (แสดงว่าโจรมันต้องข่มขืนหลายรอบอย่างแน่นอน ชาติชั่วโดยแท้!) โจรร้ายก็เผ่นหนีไปทางชายป่าข้างหมู่บ้าน ชายชาวนากับแม่ในที่สุดก็ดิ้นรนแก้มัดจนหลุดจากพันธนาการได้ ด้วยไฟแค้นสุมอก ชายชาวนาคว้าได้มีดพร้าเหน็บเอวก็ผลุนออกจากบ้าน หวังแลกชีวิต ยอมตายไม่ยอมอยู่ อย่างไรก็ต้องแก้แค้น จับคนผิดมาลงโทษให้ได้

ชายชาวนาไล่ตามรอยโจรมาจนถึงชายป่า ทันเห็นหลังโจรปีนข้ามกำแพงหมู่บ้านอยู่ไวๆ ชายชาวนาไม่สนใจวิ่งกวดตะโกนโห่ร้องไม่คิดชีวิต ไม่สนหน้าไม่สนหลังจนสะดุดล้มลง ทับเอาสวนผักชายป่าพังเละเทะไปหนึ่งแปลง

ที่แท้สวนผักกะจ้อยร่อยแปลงนี้เป็นของเจ้าของโรงสีหมู่บ้านผู้เป็นเพื่อนบ้านของชายชาวนานั่นเอง เพื่อนบ้านผู้นี้เป็นคนรักความสงบ รักสันติ เป็นคนธัมมะธัมโม ทั่วทั้งบ้านและรอบบ้านต่างเต็มไปด้วยหนังสือปรัชญาและรูปภาพปริศนาธรรมมากมาย สวนผักที่ชายชาวนาล้มลงไปทับอยู่ในขณะนี้ก็คือสวนผักสวนครัวที่เพื่อนบ้านผู้นี้ปลูกไว้ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง แม้ว่ามันจะไม่ค่อยจำเป็น เพราะในชีวิตปกติทุกเมื่อเชื่อวัน เขาก็ซื้ออาหารสำเร็จรูปใส่ถุงมาจากในตลาดอยู่แล้ว (เนื่องจากเขาทำอาหารไม่เป็นสักอย่าง) อย่างน้อยการปลูกต้นไม้ก็ช่วยทำให้เขาเป็นคนใจเย็นและช่วยลดโลกร้อนไปในตัว (อันนี้เป็นคำสอนของผู้รู้ตามหนังสือที่เขาอ่าน)

เพื่อนบ้านผู้รักสันติเห็นเหตุการณ์มาตลอดตั้งแต่ที่โจรถือปืนออกมาจากบ้านชายชาวนาจนถึงเมื่อสักครู่ที่ชายชาวนาสะดุดล้มลง (หากมองดีๆ แล้วก็จะพบว่าสิ่งที่ชายชาวนาสะดุดก็คือหนังสือ "คู่มือสันติอหิงสาฉบับชาวบ้าน" ที่เพื่อนบ้านผู้นี้ลืมทิ้งไว้ตั้งแต่ปีมะโว้นั่นเอง) เพื่อนบ้านผู้นี้เห็นสวนผักแปลงใหม่ของตนพังเสียหายก็คิดว่าคงจะอยู่เฉยไม่ได้เสียแล้ว ทิ้งส้อมพรวนดิน ปราดเข้ามาขวางชายชาวนาไว้พร้อมกับถามชายชาวนาว่า
"เฮ้ย เอ็งมีเรื่องเดือดร้อนอะไร จะรีบไปไหน ดูสิทำสวนผักของข้าพังยับหมดเลย"

ชายชาวนาแม้จะมึนงงอยู่บ้างจากการล้มกระแทกพื้นเมื่อตะกี้ ก็เรียกสติตัวเองกลับมา ผุดลุกขึ้นตอบว่า
"ขอโทษขอรับนายท่าน ผมเร่งจะไปจับโจรที่ปล้นบ้านผมจนไม่ระวัง เมื่อสักครู่มันวิ่งผ่านมาทางนี้ หากผมไม่สะดุดล้มเสียก่อนก็คงจะตามไปทันแล้ว"
จากนั้นชายชาวนาก็ระล่ำระลักเล่าเคราะห์กรรมที่ครอบครัวตนเพิ่งประสบมาให้เพื่อนบ้านผู้แสนดีฟัง คุกเข่าอ้อนวอนให้เพื่อนบ้านผู้แสนดีช่วยเหลือหรืออย่างน้อยก็เปิดทางให้

เพื่อนบ้านผู้แสนดียืนฟังเรื่องราวทั้งหมด ก็พยักหน้าอืมๆ ในใจพลางคิดว่า ไอ้ชาวนาสกปรกคนนี้ทำสวนกูพังเละเทะ (ต้องมาปลูกใหม่อีกรอบ มันเหนื่อยนะโว้ย) อีกทั้งโจรนั่นก็มีปืน ไอ้ชาวนานี้มีแค่มีดพร้าจะไปสู้อะไรได้ หากโจรรู้เข้าว่ากูช่วยไอ้ชาวนานี่ แล้วแค้นยกพวกมาปล้นบ้านกูหละ โอย คิดแล้วกลุ้ม เอาว่ากูรับหน้าที่ทำตัวเป็นกลางแล้วกัน จะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง

คิดได้ดังนั้น เพื่อนบ้านผู้แสนดีจึงช่วยพยุงชาวนาลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวปลอบว่า
"เอางี้ดีกว่า เอ็งกลับบ้านไปดูแลแม่เอ็งซะก่อน เรื่องโจรนี่เดี๋ยวข้าช่วยแจ้งเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจัดการให้ ปัญหาจะได้จบอย่างสันติวิธี อย่าลืมสิโจรนั่นก็ยังไม่ได้ทำร้ายร่างกายอะไรเอ็งเลย เอ็งจะถือมีดไปทำร้ายเขาได้ยังไง ส่วนค่าเสียหายแปลงผักของข้าไว้เอ็งทยอยชดใช้เป็นงวดๆ ก็ได้ ข้าไม่ว่าอะไรหรอก"

ชายชาวนาได้ยินคำเหล่านี้ออกมาจากปากเพื่อนบ้านของตัวเองเหมือนราวกับโดนคนเอาเข็มสักพันเล่มมาทิ่มหัวใจก็ไม่ปาน ชายชาวนาไม่รอฟังคำพล่ามจนสิ้นประโยค ลุกขึ้นยืนเต็มสองเท้าได้ก็ออกตัววิ่งต่อทันที

เพื่อนบ้านผู้แสนดีเห็นชาวนาไม่สนใจจะฟังคำเทศนาที่ตนอุตส่าห์แนะนำด้วยความหวังดี แถมยังจะดันทุรังวิ่งเหยียบย่ำสวนผักของเขาต่อไปอีก จึงโผตัวเข้าไปกอดรั้งยื้อยุดชายชาวนาไว้ อีกมือก็หยิบ iPhone โทรแจ้งตำรวจ หวังให้มาจัดการผู้บุกรุกป่าเถื่อนคนนี้สักที

บังเอิญตำรวจเวรลาดตระเวนตรวจการณ์อยู่แถวนั้นพอดี เมื่อได้รับแจ้งจากศูนย์ว่าเกิดอะไรขึ้นและใครแจ้งมา ก็รีบรุดมาโดยมิรอช้า เพราะรู้ว่าเจ้าของโรงสีผู้เป็นเพื่อนบ้านของชาวนาคนนี้เป็นคนร่ำรวย มีหน้ามีตาในหมู่บ้าน หากมัวแต่อ้างอู้ชักช้า เกิดท่านไม่พอใจ ก็ได้เดือดร้อนกันทั้งโรงพัก เมื่อตำรวจวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงสถานที่เกิดเหตุ ภาพที่ตำรวจเวรนายนี้เห็นก็คือชายชาวนาในมือมีมีดพร้ากำอยู่หนึ่งเล่มกำลังปลุกปล้ำฟัดกันอุตลุดอยู่กับเพื่อนบ้านผู้เป็นเจ้าของโรงสี จึงชักไม้กระบองเข้าไปฟาดชายชาวนาผลัวะๆ เพื่อหวังแยกชายทั้งสองออกจากกัน (ถ้าฟาดเจ้าของโรงสี เดี๋ยวก็อดรับสินน้ำใจปลายปีสิวะ)

ชายชาวนาโดนกระบองฟาดเข้าไปกลางหลัง ถึงกับสะดุ้งด้วยอารามตกใจระคนงงงวย สงสัยว่าตนเองทำอะไรผิดนักหรือ ถึงได้ถูกผู้คนรุมกลั่นแกล้งเพียงนี้ ตำรวจคนนี้ เขาเองจำได้ว่าทุกๆ เดือนจะไปร่วมวงกินข้าวจิ้มน้ำพริกกับเขาที่บ้าน มาวันนี้ทำไมไม่สอบถามอะไรสักครึ่งคำก็เอากระบองมากระหน่ำตีเขาอยู่ฝ่ายเดียว ชะรอยว่าคนพวกนี้คงจะเป็นพวกเดียวกันกับโจรแน่แท้ ถึงได้เห็นดีเห็นงามปกป้องมันขนาดนี้

"หมาจนตรอกมันยังสู้ยิบตา" ชายชาวนาสิ้นแล้วซึ่งศรัทธากับศีลธรรมจรรยาจอมปลอม มีดพร้าในมือกวัดแกว่งมั่วซั่ว ฟันอากาศไปร้องไห้ไปเหมือนคนบ้า จนตำรวจกับเพื่อนบ้านเจ้าของโรงสีถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ผงะถอยออกมา ตำรวจตั้งสติได้ก็ชักปืนประจำกายขึ้นมาขู่หมายให้หยุด พร้อมกับค่อยๆ ก้าวเข้าหาทีละก้าวเพื่อกระชับพื้นที่

แต่ชายชาวนาตอนนี้คลั่งไปด้วยความแค้น ไม่ฟังเสียงใครหน้าไหนทั้งสิ้น ยิ่งเห็นปืนจ่อหน้าก็ยิ่งตวัดมีดไปมาแรงขึ้นและเร็วขึ้น ในที่สุดมีดก็หลุดมือ ลอยไปเฉือนเอาหมวกตำรวจขาดแบะเป็นรูโหว่เบ้อเริ่ม ตำรวจตกใจทำปืนลั่น นับยังเป็นเคราะห์ดีของชายชาวนาที่กระสุนเฉียดโดนต้นแขนแค่ถากๆ

เสียงปืนผนวกกับความเจ็บแสบจากแผลกระสุนฉุดให้สัมปชัญญะของชายชาวนากลับมาอีกครั้ง นึกได้ว่าขืนอยู่ตรงนี้ต่อไปเขาคงโดนยิงทิ้งไม่ก็โดนจับยัดเข้าตะรางข้อหาทำร้ายเจ้าหน้าที่ ถ้าเป็นเช่นนั้น เรื่องแก้แค้นโจรคงจะไม่มีทางเป็นไปได้ สรุปในใจได้ความดังนั้น เขาจึงอาศัยช่วงจังหวะที่ทุกคนยังนิ่งตกใจกับเสียงปืน หันหลังกลับวิ่งไปยังโรงจอดรถของเจ้าของโรงสี กระโดดขึ้นที่นั่งคนขับ สตาร์ตเครื่องออกรถหนีไปเหยียบคันเร่งสุดชีวิตไม่คิดแม้แต่จะมองกระจกหลัง (สังเกตว่าชายชาวนามีความรู้เรื่องกลไกรถยนต์ดีมากทีเดียว สามารถสตาร์ตเครื่องได้โดยไม่ต้องมีกุญแจ ทั้งนี้เพราะเขาเคยทำงานเป็นช่างซ่อมรถมาก่อน)

เพื่อนบ้านของชายชาวนาเห็นทั้งรถตัวเองถูกขโมยและสวนพังยับเยินก็โวยวายเอะอะมะเทิ่ง สั่งให้ตำรวจลากคอคนร้ายรายนี้มาลงโทษให้ได้ จะจับเป็นหรือจับตายไม่สน

ชายชาวนาผู้น่าสงสารตอนนี้กลายเป็นผู้ต้องหามีหมายจับติดตัว จะกลับก็กลับไม่ได้ จะหนีก็ยังไม่รู้ว่าจะหนีไปไหน แม่ผู้ถูกกระทำชำเราก็ได้แต่ตรอมใจรอลูกชาย ไม่มีใครเหลียวแล สภาพครอบครัวชาวนานี้ใช้คำว่า "บ้านแตกสาแหรกขาด" ยังดูจะกินความน้อยเกินไปด้วยซ้ำ

โจรชั่วต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดก็ยังคงลอยนวล ก่อกรรมทำเข็ญต่อไปอย่างไม่เกรงกลัวบาปกรรม จะมีใครบ้างหนอรู้บ้างว่าใต้ผ้าคลุมปิดหน้านี้ จริงๆ แล้วคือ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ซึ่งมีฉากหน้าเป็นคนใจบุญสุนทาน แต่จิดใจต่ำช้าเยี่ยงสัดว์เดรัจฉาน

จากนี้...

นิทานเรื่องนี้ของผมก็ค้างอยู่เท่านี้แหละครับ หากคิดพล็อตต่อจากนี้ออกและไม่ตายไปเสียก่อน ผมก็อาจจะมาเขียนต่อให้จบ

ฉากต่อไป ชายชาวนาของเราจะไปรวบรวมผู้ร่วมชะตามาต่อสู้ได้หรือไม่?

เพลิงแค้นของพวกเขาพร้อมจะเผาผลาญทุกอย่างที่ขวางหน้าเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมได้หรือไม่?

เพื่อนบ้านผู้ร่ำรวยเป็นเจ้าของโรงสีจะคิดแค้นชายชาวนาต่อหรือไม่?

ตำรวจจะเลือกจับชายชาวนาหรือจับโจร?

โจรจะลอยนวลไปอีกนานเท่าใด?

แม่ของชายชาวนาจะต้องตรอมใจจนป่วยตายไม่มีใครเฝ้าข้างเตียงอย่างนั้นหรือ?

คำถามสุดท้าย หมู่บ้านนี้จะพังพินาศในฉากจบหรือไม่?

คำตอบของคำถามเหล่านี้คงต้องรอดูกันต่อไปในอนาคต

และอนาคตขึ้นอยู่กับพวกเราทุกคนแล้ว


ป.ล. อ่านมาจนจบถึงบรรทัดนี้คงรู้แล้วสินะว่านิทานนี้มันเป็นนิทานการเมืองชัดๆ (หลอกชาวบ้านอีกแล้ว ฮิฮิ) แล้วพอจะทราบกันหรือไม่ว่าตัวละครแต่ละตัวในเรื่องเทียบได้กับฝ่ายใดบ้างในสถานการณ์จริง
ชายชาวนา = รากหญ้าผู้ถูกขูดรีดจากชนชั้นสูงและถูกเหยียดหยามจากชนชั้นกลางอย่างไม่เป็นธรรม เสื้อแดงก็คือกลุ่มของชาวนาที่คลั่งแค้นจนทนไม่ไหวนั่นเอง

เพื่อนบ้านชาวนา (เจ้าของโรงสี) = ชนชั้นกลางผู้สร้างฐานะของตนเองได้แล้ว มีหน้ามีตาในสังคมพอประมาณ แต่กลัวการเปลี่ยนแปลงและไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว ม็อบเสื้อเหลืองหรือกลุ่มคนหลากสี (สลิ่ม) ก็คือเจ้าของโรงสีที่เป็นเดือดเป็นแค้นเมื่อเห็นสวนของตัวเองเละเทะ

โจร = อำนาจนอกระบบที่มีกองทัพ (ปืน) หนุนหลัง และมีฐานอำนาจจากแนวความคิดอนุรักษ์นิยมของชนชั้นกลาง

ตำรวจ = อำนาจตามตัวระบบตามที่มีเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ในความเป็นจริงทำอะไรแทบไม่ได้ ต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของโจรซึ่งผ่านมาทางการปกป้องฐานะตนเองของเจ้าของโรงสีทั้งหลาย (ผู้เป็นเพื่อนบ้านกับชาวนา)

แม่ของชาวนา = สิทธิในทางการเมืองของชนชั้นล่างซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

เกือบลืม สุดท้ายก่อนจบ หากใครไม่คิดจะจับโจร ก็ไม่ต้องมาเล่นบทเพื่อนบ้านผู้แสนดีที่นี่ ผมรำคาญความเห็นแบบนั้นเต็มทนแล้ว

2 comments:

  1. สวัสดีครับ

    อ่านนิทานเรื่องนี้แล้ว ถ้าเวลานี้ต้อนนี้เลย ผมมองเจ้าของโรงสีไปอีกระดับนึง แต่ถ้ามองในระดับนี้ มันเป็นนิทานที่ฟังกันมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว ไม่รู้ว่าคุณเอกคิดในระดับไหน

    "ดีนะที่ผมเห็นก่อนไม่นั้นคงคิดไปไกลแล้ว"

    ReplyDelete
  2. ผมคงคิดได้จากแค่ในระดับชาวนา ไม่มากกว่านั้น ไม่น้อยกว่านั้น
    อย่าเพิ่งคิดกันไปไกลมากเลยครับ เอาว่าพิจารณาในสิ่งที่ผ่านมาก่อนว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทั้งชาวนาและเจ้าของโรงสีก็ไม่ใช่ว่าผิดเสียทั้งหมดหรือถูกไปเสียทุกเรื่อง ตำรวจที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ทำอะไรไม่ได้ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง (แต่โจรหนะผิดเต็มๆ)

    ReplyDelete